ดาวโจนส์ร่วง 192 จุดขณะนลท.จับตารายงานผลประกอบการสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่

ดาวโจนส์ร่วง 192 จุดขณะนลท.จับตารายงานผลประกอบการสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(12ก.ค.)ปรับตัวร่วงลง 192 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่ในสัปดาห์นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 192.51 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 30,981.33 จุด

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 35.63 จุด หรือ 0.92% ปิดที่ 3,818.80 จุด

ดัชนีแนสแด็ก ลดลง 107.87 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 11,264.73 จุด

นักลงทุนจับจากข้อมูลราคาผู้บริโภคจากกระทรวงแรงงานสหรัฐที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพุธ (13 ก.ค.) เช่นเดียวกับรายงานผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่มีกำหนดเผยแพร่ในช่วงปลายสัปดาห์ ตลาดจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในวันที่ 14-15 ก.ค.

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เตือนว่าธนาคารสหรัฐจะรายงานตัวเลขกำไรในไตรมาส 2 ที่น่าผิดหวัง เนื่องจากมีการเพิ่มการกันสำรองหนี้สูญ ท่ามกลางแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ กฎระเบียบที่มีการบังคับใช้ในเดือนม.ค.2563 กำหนดให้ธนาคารต่างๆจะต้องนำปัจจัยแนวโน้มเศรษฐกิจเข้ารวมในการพิจารณากันสำรองหนี้สูญ

นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชสกล่าวเตือนในเดือนที่แล้วว่า สหรัฐกำลังเผชิญพายุเฮอร์ริเคนด้านเศรษฐกิจ

ขณะที่นายเจมส์ กอร์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า มีโอกาส 50% ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ข้อมูลจาก Refinitiv I/B/E/S ระบุว่า เจพีมอร์แกน เชส จะรายงานกำไรลดลง 25% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ลดลง 38% เวลส์ ฟาร์โกดิ่งลง 42% แบงก์ ออฟ อเมริการ่วงลง 29% โกลด์แมน แซคส์ทรุดตัวลง 51% และมอร์แกน สแตนลีย์ลดลง 17%

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชสและมอร์แกน สแตนลีย์ จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในวันที่ 14 ก.ค. ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะรายงานในวันที่ 15 ก.ค. ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกา และโกลด์แมน แซคส์ จะรายงานในวันที่ 18 ก.ค.

นักวิเคราะห์คาดว่า เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก และแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารในกลุ่มบิ๊กโฟร์ของสหรัฐ จะต้องทำการกันสำรองหนี้สูญรวมกันถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ตลาดกังวลว่า ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 372,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 250,000 ตำแหน่ง

นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 4.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. และให้น้ำหนัก 95.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%

ก่อนหน้านี้ นักลงทุนเคยคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเฟดเดือนก.ค. แต่ล่าสุดตัวเลขคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ได้หายไป และแทนที่ด้วยคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนมิ.ย.ในวันพุธ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี CPI จะพุ่งขึ้น 8.8% สูงกว่าระดับ 8.6% ของเดือนพ.ค.