‘เฟด’จ่อขึ้นดอกเบี้ยแรง 1.0%หลังเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดรอบ40ปี
กระทรวงแรงงานสหรัฐเผยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมิ.ย.ที่ทะยานมากถึง 9.1% ทำให้เจ้าหน้าที่เฟดสาขาต่างๆ รวมทั้งนักวิเคราะห์มองว่ามีแนวโน้มสูงมากที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงถึง 1.0% ในการประชุมเดือนนี้ เพื่อรับมือปัญหาข้าวของแพง
เมื่อวันพุธ(13ก.ค.)กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคพุ่งขึ้น 9.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี และเป็นการเพิ่มขึ้นจากระดับ 8.6 % ในเดือนพ.ค. ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า เป็นไปได้ที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงถึง 1.0% ในเดือนก.ค.นี้ มากกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 0.75%
ข้อมูลของทางการสหรัฐบ่งชี้ว่า ราคาสินค้าเมื่อเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 9.1% ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดตั้งเเต่เดือนพ.ย.ปี 2524 หรือเกือบ 41 ปีก่อน อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 8.8% และสะท้อนถึงราคาที่พุ่งขึ้นของนัำมัน อาหาร ค่าเช่าบ้าน ตลอดจน ยานพาหนะ การดูเเลสุขภาพ เสื้อผ้า และเฟอร์นิเจอร์บ้าน
ตัวเลขดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการคาดการณ์ว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของเฟดที่กำลังจะมีขึ้นปลายเดือนนี้คือระหว่างวันที่ 26-27 ก.ค. เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.5 – 1.75% เพื่อชะลอการใช้จ่ายภาคธุรกิจและการบริโภค พร้อมชะลอเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในขณะเดียวกัน
แต่ก็มีนักวิเคราะห์จำนวนมากที่เชื่อว่า เฟดจะใช้ “ยาแรง” ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ที่อัตรา 1.0% ซึ่งจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยแบบ super-size หรือขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานโดยอ้างอิงความเห็นของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทเมื่อวันพุธว่า เฟดอาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยครั้งประวัติศาสตร์ 1.0% ในการประชุมเอฟโอเอ็มซีปลายเดือนนี้ หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงพุ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง กดดันให้ธนาคารกลางต้องลงมือใช้มาตรการสกัดกั้น
"ราฟาเอล บอสติก" ประธานเฟดสาขาแอตแลนตาให้ความเห็นหลังจากที่มีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ซึ่งพุ่งแรงเหนือความคาดหมายที่อัตรา 9.1% ว่า ตอนนี้ทุก ๆทางเลือกมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 1.0%
รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจใน 12 เขตของสหรัฐหรือ Beige Book ก็ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงกลางเดือนพ.ค.จนถึงกลางเดือนก.ค. เนื่องจากการที่เฟดดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ส่วนนักลงทุนก็ให้น้ำหนักมากขึ้นว่า แนวโน้มที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1.0% ในเดือนก.ค.นี้ มีความเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่เฟดเริ่มใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือกำกับนโยบายการเงินโดยตรงตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มไม่พอใจมากขึ้นเกี่ยวกับค่าครองชีพ-ราคาสินค้าที่พุ่งแรง เพราะมองว่าเฟดขยับตัวแก้ปัญหาช้าเกินไปในช่วงที่ผ่านมา
“ลอเร็ตตา เมสเตอร์” ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันในการให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กเมื่อวันพุธ แม้จะปฏิเสธให้ความเห็นว่าเฟดควรขึ้นดอกเบี้ย 1.0% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค.นี้หรือไม่ เพราะก่อนที่จะถึงวันประชุม ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆให้พิจารณาอีก แต่ก็พูดชัดว่า การประชุมครั้งที่ผ่านมา คือเดือนมิ.ย. เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ไม่มีเหตุผลที่ครั้งนี้ จะขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่านั้น
ในการประชุมของเฟดครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2565 เฟดตรึงดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวคือในเดือนม.ค. หลังจากนั้นก็ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาโดยตลอด ดังนี้ วันที่ 25-26 ม.ค. คงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ,วันที่ 15-16 มี.ค. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50%,
วันที่ 3-4 พ.ค. ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.75-1.00% และวันที่ 14-15 มิ.ย. ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75%
เมสเตอร์ เชื่อว่า เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีนัก เงินเฟ้ออยู่ในอัตราสูงเกินกว่าที่จะรับได้ ทิศทางของเฟดนับจากนี้คือการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะเห็นชัดว่าสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้ปรับลดลงมาได้แล้ว
ด้าน “แมรี ดาลี” ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ให้ความเห็นว่า จากข้อมูลเศรษฐกิจที่มีอยู่ เธอเห็นแต่ข่าวร้ายล้วน ๆ แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า การประชุมเดือนก.ค.นี้ เฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75%
เฟดเริ่มใช้ยาแรง ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงในการประชุมครั้งที่ผ่าน ๆมา หลังจากที่ถูกตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าขยับตัวช้าเกินไปจนทำให้คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ แต่การขึ้นดอกเบี้ยอัตราสูงของเฟดก็สร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดการเงิน และเพิ่มความเสี่ยงที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจถูกผลักเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession)
ทีมนักวิเคราะห์จากบริษัทโนมูระ ซีเคียวริตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากรายงานอัตราเงินเฟ้อรายเดือนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับและแนวโน้มที่ยิ่งจะเลวร้าย จึงเชื่อว่าในการประชุมเอฟโอเอ็มซีเดือนก.ค.นี้ เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงขึ้นที่ 1.0% ซึ่งจะทำให้เฟดดูน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ที่ผ่านมา เฟดใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มข้น แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลมากนักในแง่การลดความร้อนเเรงของอุปสงค์ภายในประเทศ และดึงเงินเฟ้อให้กลับมาเป็นไปตามเป้าที่ 2%
"เจอโรม พาวเวล" ประธานเฟดกล่าวไว้ในเดือนมิ.ย.หลังขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 1.5-1.75% ว่า การประชุมในเดือนก.ค. น่าจะมีการปรับขึ้นอีก 0.50 ถึง 0.75% ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา บรรดาประธานเฟดสาขาต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะขานรับการขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเดียวกับที่พาวเวลล์กล่าวไว้ หรือไม่ก็สนับสนุนให้ขึ้นมากกว่านั้น
หลังจากนี้ไป ประธานเฟดสาขาย่อยจะออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยได้จนถึงวันศุกร์ (15 ก.ค.) จากนั้นจะไม่สามารถออกความเห็นได้อีก ถือเป็นช่วงงดให้ความเห็นไปจนถึงการประชุมในวันที่ 26-27 ก.ค.
ปรากฏการณ์เงินเฟ้อรุนเเรงที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะแต่ที่สหรัฐประเทศเดียว และทำให้ราคาสินค้าเเพงขึ้น กำลังเป็นปัญหาท้าทายทางการเมืองต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ และพรรคเดโมเเครตโดยตรง โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.นี้
หลายฝ่ายมองว่า ความนิยมในตัวปธน.ไบเดนลดลงอย่างมาก จนเขาไม่ควรลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่2 ด้วยซ้ำ