‘บัฟเฟตต์’ห่วงสหรัฐใช้จ่ายเงินเกินตัว ไม่ห่วงเรื่องลดพึ่งพาดอลลาร์

• ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้้เกิดกระแสลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
• บัฟเฟตต์ เตือนว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้อยู่ในฐานะเสี่ยงที่จะสูญเสียสถานะการเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศแต่การใช้จ่ายเงินเกินตัวของรัฐบาลอเมริกันอาจจะนำไปสู่หายนะในอนาคต

“วอร์เรน บัฟเฟตต์” มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังของโลก บอกไม่ห่วงเกี่ยวกับกระแสการลดพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของหลายประเทศที่อาจทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้เป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศอีกต่อไป แต่ห่วงเรื่องการใช้จ่ายเงินเกินตัวของรัฐบาลสหรัฐมากกว่าที่อาจจะทำให้การคลังของประเทศล่มสลาย

“เราเป็นสกุลเงินที่ทั่วโลกไว้วางใจให้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ผมมองไม่เห็นว่าจะมีสกุลเงินใดในโลกที่จะมาแทนที่สกุลเงินสหรัฐได้ในการทำหน้าที่ในส่วนนี้ ผมไม่ห่วงเรื่องการที่ประเทศต่างๆลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ แต่ห่วงเรื่องการใช้จ่ายของรัฐบาลและการบริหารการเงินจนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นมากกว่า เราควรจะมีความระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะแก้ไขอะไรได้ทันเมื่อคุณปล่อยยักษ์ออกจากตะเกียงแล้วและผู้คนก็สูญเสียศรัทธาในสกุลเงินท้องถิ่นของพวกเขา”บัฟเฟตต์ กล่าว
 

ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท เบิร์กไชร์ แฮธะเวย์ เมื่อวันเสาร์ (6 พ.ค.) บัฟเฟตต์ วัย92 ปี ซึ่งเป็นประธานและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)ของเบิร์กไชร์ แฮธะเวย์ วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐ และหน่วยงานที่กำกับดูแลภาคการเงินในการรับมือกับวิกฤติแบงก์ล้ม อย่าง ซิลิคอน วัลเลย์, ซิกเนเจอร์แบงก์ และเฟิร์ทรีพับลิกแบงก์ โดยระบุว่ากำกับดูแลได้ “แย่มาก” ที่ทำให้ผู้ฝากเงินเกิดภาวะความหวาดกลัวโดยไม่จำเป็น

“ความกลัวเป็นโรคติดต่อ คุณไม่สามารถบริหารเศรษฐกิจให้เดินข้างหน้าได้ เพราะทำให้ผู้คนกังวลว่าเงินในธนาคารของพวกเขาจะปลอดภัยหรือไม่"บัฟเฟตต์ กล่าว
 

บัฟเฟตต์กล่าวถึงเรื่องนี้ ในที่ประชุมถือหุ้นฯเป็นเวลาหลายชั่วโมง หลังจากเบิร์กไชร์แฮธะเวย์ ประกาศผลกำไรประจำไตรมาสอยู่ที่ 35,500 ล้านดอลลาร์ และสามารถซื้อหุ้นคืน 4,400 ล้านดอลลาร์ขณะที่บริษัทขายหุ้นของบริษัทอื่นๆ มูลค่า 1.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้

บัฟเฟตน์ เป็นบุุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ของโลกตั้งแต่ปี 2518 โดยเขาบริหารบริษัทเบิร์กไชร์แฮธะเวย์ ซึ่งมีธุรกิจมากมาย เช่น ประกันภัยรถยนต์,รถไฟ และผลิตภัณฑ์อาหารเดลีควีน ทั้งยังเป็นเจ้าของหุ้นมูลค่า 3.28 แสนล้านดอลลาร์ เกือบครึ่งหนึ่งของแอ๊ปเปิ้ลอิงค์ด้วย