ดีลธุรกิจจีนในวอลล์สตรีททรุด ฉุดรายได้“นักกฎหมาย-วาณิธนกิจ”
กระแสทำข้อตกลงธุรกิจที่เคยเฟื่องฟูปรับตัวลงอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจจีนชลอตัว การปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลปักกิ่งหลายครั้งและปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นและขยายวงกว้างขึ้น
ตอนนี้หลายคนคงไม่เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจจีนที่ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เป็นเหมือน“เครื่องปั่น”เงินให้แก่บรรดานักกฎหมายและเหล่าวาณิชธนกิจอีกต่อไป แต่จะเห็นภาพ บรรดานักกฎหมายกำลังบอบช้ำอย่างแสนสาหัสจากการที่จีนบรรลุข้อตกลงทางธุรกิจน้อยลงมากจนส่งผลต่อรายได้ของพวกเขาและผลกำไรของบริษัทที่พวกเขาสังกัด
การบรรลุข้อตกลงทางธุรกิจในตลาดหุ้นของจีนที่ลดลงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้ ความเจ็บปวดและบอบช้ำจากผลพวงของสิ่งนี้กำลังลามมายังกลุ่มนักกฎหมาย ส่งผลให้บริษัทกฎหมายบางแห่งที่เคยติดกลุ่มบริษัทกฎหมายใหญ่สุดของโลกตัดสินใจเลย์ออฟพนักงานเพราะคาดการณ์ว่าภาวะขาลงในการดีลทางธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์จะยืดเยื้อยาวนาน
ครั้งหนึ่ง จีน ประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองของโลกเคยเป็นแหล่งสร้งรายได้หลักของบรรดาบริษัทกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยให้บริษัทเทคจีนชิงส่วนแบ่งยอดขายในต่างประเทศได้เป็นกอบเป็นกำและช่วยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่นที่มีหนี้สินท่วมให้ขายพันธบัตรสกุลดอลลาร์ได้
แต่กระแสทำข้อตกลงธุรกิจที่เคยเฟื่องฟูกลับปรับตัวลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจจีนชลอตัว การปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลปักกิ่งหลายครั้งและปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นและขยายวงกว้างมากขึ้น
Kirkland & Ellis, Dechert, Norton Rose Fulbright and DLA Piper อยู่ในกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ประกาศลดจำนวนพนักงานเมื่อไม่นานมานี้ ตามมาด้วยคลื่นการปลดพนักงานในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักกฎหมายในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน “เมเออร์ บราวน์” ปลดนักกฎหมายที่ทำงานในฮ่องกง ครอบคลุมนักกฎหมายที่ดูแลลูกค้าภาคธุรกิจและตลาดทุน และช่วงปลายเดือนก.พ. บริษัทปลดพนักงานฝ่ายสนับสนุนอย่างน้อย 20 คน รวมถึง ผู้ช่วยฝ่ายกฎหมายในทีมอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังประสบปัญหา
“นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในตลาดทุนที่ผมได้เห็น และคาดว่าจะมีกระแสเลย์ออฟตามมาอีกหลายแห่ง”วิลเลียม ชาน อดีตนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหางานด้านกฎหมาย มีฐานอยู่ในฮ่องกง กล่าว
นับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปี 2023 ดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างฮั่งเส็ง ค่อยๆ ปรับตัวลงจนให้ผลตอบแทนติดลบ 17.99% และมีระดับ P/E ที่ 9.14 เท่า
เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมเศรษฐกิจ "พอล ชาน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ระบุเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ว่า เศรษฐกิจฮ่องกงจะขยายตัวขึ้นอีก 2.5-3.5% ตลอดทั้งปี เมื่อพิจารณาโดยคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อแล้ว
ชาน ระบุในการนำเสนองบประมาณประจำปี 2024-2025 ที่สภานิติบัญญัติฮ่องกงว่า แรงกดดันด้านต้นทุนภายในฮ่องกงคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่แรงกดดันด้านราคาจากต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะคลายตัวลงมากขึ้น
ชานคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (underlying inflation rate) และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline inflation rate) ในปีนี้จะอยู่ที่ 1.7% และ 2.4% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ชานยังคาดการณ์ว่า ตั้งแต่ปี 2025-2028 เศรษฐกิจฮ่องกงจะเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2% ต่อปีเมื่อพิจารณาโดยคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อแล้ว ขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.5% ต่อปี
Dealogic ระบุว่า ในปี 2023 การทำไอพีโอของบริษัทจีนและการจดทะเบียนของบริษัทต่างประเทศที่มีหรือจะมีหุ้น เป็นหลักทรัพย์ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ (secondary listings)ในฮ่องกงมีมูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 54% จากปีก่อนหน้าและลดลงอย่างมากจากปี 2021 ที่ระดมได้ 41.2 พันล้านดอลลาร์ ส่วนปีนี้ บริษัทจีนระดมทุนได้แค่ 296 ล้านดอลลาร์จากการขายหุ้นในฮ่องกง
กระแสปลดพนักงานล่าสุด ครอบคลุมการปลดพนักงานที่เป็นนักกฎหมาย 30 คนของบริษัท
King & Wood Mallesons and Linklaters. Linklaters ในกรุงปักิิ่ง เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว
การประเมินของ Dealogic ระบุว่า บรรดาวานิจธนกิจในวอลล์สตรีท ประกาศลดพนักงานเมื่อปีที่แล้ว เพื่อรับมือกับปัญหารายได้ลดลงอย่างหนักจากการทำข้อตกลงทางธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทจีน โดยธนาคารเพื่อการลงทุนมีรายได้จากการทำดีลทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจีนในปี 2023 อยู่ที่ 744 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี
การลดพนักงานที่เกิดขึ้น รวมถึงการที่รายได้ลดลงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอดของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ทั้งยังเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่บรรดานักลงทุนต่างชาติให้ความเชื่อถือและไว้วางใจ จูเลียส แบร์ ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจัดให้ฮ่องกงเป็นเมืองแพงที่สุดในโลกสำหรับการบริการด้านกฎหมายในปี 2023