‘นิวยอร์ก’ อันดับ 1 เมืองคนรวยที่สุดในโลก แค่ 10 ปี สหรัฐมี'เศรษฐีเงินล้าน'มากที่สุด
‘นิวยอร์กซิตี้’ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 เมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากจำนวนมหาเศรษฐี Millionnaire และ Billionnaire กินขาดแซงทุกเมือง ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหลังจากตลาดหุ้น เทคโนโลยี และบิตคอยน์พุ่งขึ้น ดันสหรัฐมีมหาเศรษฐีเงินล้านมากที่สุดภายใน 10 ปี
“นิวยอร์กซิตี้” ครองแชมป์ เมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากรายงานล่าสุดโดยเฮนลีย์แอนด์พาร์ทเนอร์ร่วมกับนิวเวิลด์เวลธ์ ซึ่งสำรวจจำนวนมหาเศรษฐีในเมืองใหญ่ทั่วโลกในช่วง 10 ปี ระหว่างปี 2556 - 2566 โดยพบว่า นิวยอร์กซิตี้มีเศรษฐีระดับ “Millionnaire” (ทรัพย์สิน 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป) อาศัยอยู่ถึง 359,500 คน และมหาเศรษฐีระดับ “Billionnaire” (ทรัพย์สินพันล้านดอลลาร์ขึ้นไป) อีก 60 คน
ผลสำรวจชี้ว่าประชากรเศรษฐีเงินล้านในนิวยอร์กซิตี้ เพิ่มขึ้นถึง 48% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีความกังวลเรื่องการย้ายถิ่นของคนร่ำรวยและผลกระทบจากโควิด-19 ที่อ าจทำให้ประชากรกลุ่มนี้ในเมืองลดลง ซึ่ง “จำนวนเศรษฐีเงินล้านในนิวยอร์ก มีมากกว่าประชากรทั้งหมดในเมืองเล็กๆ อย่าง ออร์แลนโด หรือพิตส์เบิร์กเสียอีก”
10 อันดับเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
- นิวยอร์กซิตี้
- เบย์ แอเรีย, ซานฟรานซิสโก
- โตเกียว
- สิงคโปร์
- ลอนดอน
- ลอสแอนเจลิส
- ปารีส และอิล เดอร์ ฟรองส์
- ซิดนีย์
- ฮ่องกง
- ปักกิ่ง
ปัจจุบัน “นิวยอร์กซิตี้” มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของประชากรทั้งเมืองเกินกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า “จีดีพีทั้งประเทศ” ของบราซิล อิตาลี แคนาดา หรือแม้แต่ประเทศไทยด้วย (จีดีพีไทยอยู่ที่เกือบ 5 แสนล้านดอลลาร์)
ส่วนย่าน “เบย์ แอเรีย” หรือพื้นที่บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ตามมาในอันดับ 2 มีจำนวนเศรษฐีเงินล้าน พุ่งสูงขึ้นถึง 82% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีอยู่ 305,700 คน จากรายงาน ณ เดือนธันวาคม พบว่าเบย์ แอเรียมีจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านมากกว่านิวยอร์ก โดยมีจำนวน 68 คน
สหรัฐสร้าง ‘เศรษฐีพันล้าน’ภายใน 10 ปี
สหรัฐกำลังทิ้งห่างจากประเทศอื่นๆ ในฐานะประเทศผู้สร้างเศรษฐีเงินล้าน และมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์มากที่สุดในโลก รายงานระบุว่า เฉพาะสหรัฐเพียงประเทศเดียวก็มีเมืองติดอันดับ 1 ใน 50 เมืองที่ร่ำรวยที่สุดถึง 11 เมืองไปแล้ว
นอกจากนี้ แอนดรูว์ อามิลส์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของนิวเวิลด์เวลธ์ยังเสริมว่า "ที่น่าสังเกตคือ เมืองต่างๆ ในสหรัฐมีการเติบโตที่เหนือกว่าเมืองตะวันตกอื่นๆ อย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่งคั่งโดยรวมหรือจำนวนเศรษฐีมิลเลียนแนร์"
ด้าน “ลอสแอนเจลิส” ขยับอันดับขึ้นเช่นกัน โดยไต่ขึ้นสองอันดับสู่ลำดับที่ 6 ด้วยจำนวนเศรษฐีเงินล้านที่เพิ่มขึ้นถึง 45%
‘หุ้น เทคโนโลยี บิตคอยน์’ เครื่องจักรทำเงิน
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากธุรกิจเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการเติบโตของตลาดหุ้น ส่งผลให้เกิดปริมาณความมั่งคั่งในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 เปรียบเสมือนการเร่งเครื่องให้กับการสร้างความมั่งคั่ง โดยเฉพาะกลุ่มคนรวยที่สุด 1% ของสหรัฐ ซึ่งมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นกว่า 40% ตามข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
"สหรัฐยังคงครองความเป็นผู้นำในแง่ของเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เนื่องจากความโดดเด่นในภาคการเงิน เทคโนโลยี และบันเทิงระดับโลก" อามิลส์กล่าว
เยอร์ก สเตฟเฟน ซีอีโอของเฮนลีย์แอนด์พาร์ทเนอร์กล่าวว่า ตลาดการเงินเป็นเครื่องจักรสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งทั่วโลกตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ในรายงานระบุว่า "ผลตอบแทน 24% ของดัชนี S&P 500 ในปีที่แล้ว พร้อมกับการพุ่งขึ้น 43% ของดัชนีแนสแด็กและการพุ่งทะยาน 155% ของบิตตอยน์ส่งผลดีต่อฐานะทางการเงินของนักลงทุนผู้ร่ำรวย รวมทั้งความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีบล็อกเชน สร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับการสร้างและสะสมความมั่งคั่ง"
‘โตเกียว -ลอนดอน’ รวยลดลง
ในขณะที่สหรัฐรวยขึ้น แต่หลายเมืองกลับรวยน้อยลง “ โตเกียว” ซึ่งเคยเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อทศวรรษที่แล้ว ปัจจุบันร่วงลงมาอยู่อันดับ 3 โดยจำนวนประชากรเศรษฐีเงินล้านลดลง 5% เหลือ 298,300 คน
ส่วน “ลอนดอน” ซึ่งเคยครองตำแหน่งเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมายาวนาน หล่นลงมาอยู่อันดับ 5 เนื่องจากผลกระทบของ เบร็กซิท (Brexit) บทลงโทษรัสเซีย และนโยบายอื่นๆ ที่ทำให้การย้ายถิ่นฐานของคนร่ำรวยชะลอลง ทำให้จำนวนเศรษฐีเงินล้านในลอนดอนลดลง 10% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
‘จีน’ สร้างมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น 90% ใน 10 ปี
“จีน” ติดอันดับ 1 ใน 10 เป็นครั้งแรก โดย “กรุงปักกิ่ง” มีจำนวนเศรษฐีเงินล้านเพิ่มขึ้นถึง 90% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แตะ 125,600 คน
อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งที่ขยายตัวอย่างโดดเด่นมานานในจีนเริ่มแผ่วลงในช่วงปลาย เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการย้ายถิ่นของคนร่ำรวยส่งผลให้การสร้างความมั่งคั่งชะลอลงเช่นกัน โดยจำนวนเศรษฐีเงินล้านลดลง 4% ในปี 2567 ตามที่อามิลส์กล่าว
ด้าน “สิงคโปร์” ซึ่งได้รับประโยชน์จากกระแสการย้ายถิ่นฐานของคนรวยออกจากจีน ดีดตัวขึ้นสองอันดับสู่ลำดับที่ 4 โดยมีจำนวนเศรษฐีเงินล้านเพิ่มขึ้นถึง 64% เป็น 244,800 คน หลังจากมีเศรษฐีมากกว่า 3,400 คน ย้ายเข้าสิงคโปร์ในปี 2566 เพียงปีเดียว และอามิลส์คาดการณ์ว่าสิงคโปร์จะแย่งชิงตำแนิยมจากโตเกียว "ในเร็วๆ นี้"
สำหรับเมืองใน “เอเชีย” ที่ติดอันดับ 50 เมืองที่รวยที่สุดในโลกครั้งนี้ ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยเมืองในจีน 5 แห่ง ญี่ปุ่น 2 แห่ง อินเดีย 2 แห่ง และมีบางเมืองที่ติดอันดับเข้ามาด้วย ได้ แก่ กรุงไทเป ไต้หวัน กรุงโซล เกาหลีใต้ และฮ่องกง
อ้างอิง CNBC , Henley & Partners