บลูมเบิร์กวิเคราะห์ไทยปลดเศรษฐา ‘ประชาธิปไตยไม่อาจหยั่งรากลึก’ - ‘เผด็จการยังแฝงตัวอยู่’

บลูมเบิร์กวิเคราะห์ไทยปลดเศรษฐา ‘ประชาธิปไตยไม่อาจหยั่งรากลึก’ - ‘เผด็จการยังแฝงตัวอยู่’

หลังศาลตัดสินให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกฯ บรรดานักวิเคราะห์ และนักวิชาการมองว่า "ประชาธิปไตยไม่อาจหยั่งรากลึกได้ในไทย" และ "ระบอบเผด็จการยังคงแฝงตัวอยู่"

การโค่นล้มผู้นำประเทศที่ดำรงตำแหน่งยังไม่ถึง 12 เดือนของไทย ทำให้เห็นสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ฝ่ายอนุรักษนิยมที่สร้างกฎเกณฑ์การปกครองโดยได้รับการสนับสนุนจากทหารในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้น ยังคงกุมอำนาจทั้งหมดไว้

บลูมเบิร์ก รายงานว่า เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ที่ถูกขับโดยศาลรัฐธรรมนูญในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และกลุ่มคนที่ถูกขับนั้น ส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกโค่นอำนาจจากการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549

แต่การปลดนายกฯ ครั้งนี้แตกต่างตรงที่ ทักษิณเป็นพันธมิตรกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมที่เป็นอดีตศัตรู คำถามคือ พรรคร่วมรัฐบาลจะยังคงเหนียวแน่นต่อไปหรือไม่ คงต้องรอดูต่อไปในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค.67 ซึ่งเป็นวันที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) จะต้องโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และแคนดิเดตที่หลายคนคาดว่าอาจได้ขึ้นเป็นนายกฯ อันดับต้นๆ ก็คือ “แพทองธาร ชินวัตร” และ “ชัยเกษม นิติสิริ” จากพรรคเพื่อไทย

ประชาธิปไตยไม่อาจหยั่งรากลึกในไทย

ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิชาการแลกเปลี่ยนจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ในสิงคโปร์ กล่าวว่า

“คำตัดสินในวันพุธ และเมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 เตือนใจพวกเราว่า ยังมีสถาบันที่คอยตรวจสอบอำนาจพรรคที่มาจากการเลือกตั้งในไทยอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยไม่สามารถมีประชาธิปไตยที่หยั่งรากลึกได้ จนกว่าจะมีคนเห็นพ้องกันมากกว่านี้เกี่ยวกับการมีอำนาจเกินขอบเขต”

บลูมเบิร์ก เผย คำตัดสินปลดนายกฯ เศรษฐาพ้นตำแหน่ง ถือเป็นข่าวร้ายต่อภาคธุรกิจ ซึ่งเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเข้าแทรกแซงของทหาร

ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่เป็นหนึ่งในตลาดให้ผลประกอบแย่ที่สุดในโลกนั้น ร่วงสูงสุด 1.3% เมื่อวานนี้ และปิดลบ 0.4% ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้นหลังมีคำตัดสินปลดนายกฯ โดยแข็งค่าขึ้น 0.6% ต่อดอลลาร์

ด้านกาเร็ท ลีเธอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากแคปิตอลอีโคโนมิกส์ บอกว่า

“ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ ขณะที่นโยบายประชานิยมมีแนวโน้มย่ำแย่ลง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และแนวโน้มระยะยาวของประเทศ”

กลืนกินเพื่อไทย?

นอกจากแพทองธาร และชัยเกษมแล้ว แคนดิเดตอีกคนที่เป็นที่พูดถึงคือ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทยที่ปัจจุบันเป็นพรรคใหญ่อันดับสองในฝ่ายพันธมิตรรัฐบาล และถูกมองว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างเหนียวแน่น

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า

“เกมในตอนนี้คือ ทำให้เพื่อไทยรู้สึกว่าต้องถอนตัว ไม่รับตำแหน่งนายกฯ และนำพรรคภูมิใจไทยเข้ามา ปล่อยให้กลืนกินเพื่อไทย ภูมิใจไทยจะกลายเป็นพรรคอนุรักษนิยมอันดับต้นๆ”

บลูมเบิร์กตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มอนุรักษนิยมสามารถจัดการกับพรรคของทักษิณ และรวมกลุ่มกันกับพรรคภูมิใจไทย พวกเขาจะสามารถชนะเลือกตั้งได้จริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาประสบล้มเหลวในการเลือกตั้ง หลังจากพรรคประชาชนหรืออดีตพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุด และมีที่นั่ง สส.ในสภามากกว่าพรรคของทักษิณเป็นครั้งแรก

เผด็จการแฝงตัวอยู่

บลูมเบิร์ก ระบุ เหตุการณ์เมื่อวันพุธแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า การชนะเลือกตั้งในไทยไม่ได้ส่งผลอะไรมากมายนัก บรรดาผู้พิพากษา และนายพลฝ่ายอนุรักษนิยมยังคงมีอำนาจยิ่งใหญ่ในการโค่มล้มนักการเมือง และความจริงนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จนกว่าจะมีการแก้ไขระบบการเมืองเบื้องต้น

พอล แชมเบอร์ส อาจารย์จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้เขียนหนังสือกองทัพไทย กล่าวว่า “รัฐประหารรูปแบบใหม่คือ การใช้ศาล ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง นี่เป็นเพียงระบอบเผด็จการที่แฝงตัวอยู่”

 

อ้างอิง: Bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์