'เด็กหางเน่า' วลีใหม่ของบัณฑิตจีนป้ายแดง สุดท้อ! เรียนทำไม จบมาก็ 'ว่างงาน'

'เด็กหางเน่า' วลีใหม่ของบัณฑิตจีนป้ายแดง สุดท้อ! เรียนทำไม จบมาก็ 'ว่างงาน'

อัตราการว่างงานคนหนุ่มสาวจีนยังคงสูง ล่าสุดเดือนก.ค. พุ่งมาอยู่ที่ 17.1% เนื่องจากฤดูร้อนนี้จีนมีบัณฑิตจบใหม่ราว 11.79 ล้านคน และปีนี้มีวลีมาแรงที่ใช้เรียกกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไร้งานว่า “rotten-tail kids” หรือแปลตรงๆ คือ "เด็กหางเน่า"

อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวชาวจีนที่เพิ่มขึ้น บ่งบอกว่าคนกลุ่มนี้ประสบความยากลำบากในการงาน บางคนต้องยอมทำงานที่ได้เงินเดือนน้อย หรือบางคนยังคงต้องพึ่งพาเงินเกษียณของพ่อแม่อยู่ 

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดการเรียกขานกลุ่มชนชั้นแรงงานใหม่ว่า “rotten-tail kids” หรือแปลตรงๆ คือ "เด็กหางเน่า"

วลีดังกล่าวเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโซเชียลมีเดียปีนี้ โดยเป็นการปรับเปลี่ยนคำมาจาก “rotten-tail buildings” วลีที่สื่อถึง บ้านที่สร้างไม่เสร็จหลายสิบล้านหลังที่สั่นคลอนเศรษฐกิจจีนมาตั้งแต่ปี 2564

หากแยกคำว่า rotten-tail ออกมา จะเป็นคำแสลง หมายถึง โครงการที่ขาดการดำเนินงานในช่วงระยะสุดท้าย โครงการที่สร้างไม่เสร็จ หรือทำไม่สำเร็จ ดังนั้น rotten-tail kids อาจสื่อถึง คนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบใหม่แต่กลับว่างงาน ชีวิตวัยทำงานขาดช่วง ก็เป็นได้

เมื่อปีก่อน อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวจีนที่อายุระหว่าง 16-24 ปี สูงกว่า 20% ในเดือนเม.ย.2566 และแตะระดับสูงสุดที่ 21.3% ในเดือนมิ.ย. ปีก่อน หลังจากนั้นรัฐบาลระงับเผยแพร่ตัวเลขดังกล่าวกะทันหัน เพื่อตรวจสอบการคำนวณตัวเลขเหล่านี้อีกครั้ง

หนึ่งปีถัดมา อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวจีนยังคงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว โดยในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา อัตราการว่างงานพุ่งสู่ระดับ 17.1% เนื่องจากฤดูร้อนนี้จีนมีบัณฑิตจบใหม่ราว 11.79 ล้านคน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์

คนหนุ่มสาวชาวจีนบางคนที่ว่างงาน ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเป็น “ลูกฟูลไทม์” พึ่งพาเงินเกษียณ  และเงินออมของพ่อแม่ไปก่อน แม้แต่คนที่จบการศึกษาระดับปริญญาก็ต้องหันพึ่งครอบครัวเช่นกัน

เซเฟอร์ เกา บัณฑิตที่เพิ่งจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย China Foreign Affairs เมื่อปีก่อน ในปีนี้เขาอายุ 27 ปีแล้ว เกาเลิกหางานประจำหลังจากได้รับเสนอค่าจ้างต่ำกว่าที่ต้องการ และเปลี่ยนใจกลับบ้านเกิดแทน เกาคาดว่าจะศึกษาต่อปริญญาเอก และหวังว่าจะได้รับโอกาสที่ดีกว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มักย้ำเสมอว่า การสร้างงานหรือหางานให้คนรุ่นใหม่ยังคงเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้นๆ และรัฐบาลสนับสนุนให้มีการจัดช่องทางหางานให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงนายจ้างมากขึ้น เช่น งานจ็อบแฟร์ และออกนโยบายสนับสนุนธุรกิจเพื่อช่วยกระตุ้นการจ้างงาน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการว่างงานของคนหนุ่มสาวไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ

ในปี 2542 จีนขยายขีดความสามารถในการรับเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยอย่างแข็งขัน เพื่อผลิตแรงงานที่มีการศึกษาที่ดีขึ้น และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่กลับประสบปัญหาอุปทานบัณฑิตเกินกว่าตำแหน่งงานที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งปัญหานี้ยังคงไม่หมดไปเนื่องจากบัณฑิตที่มีวุฒิสูงๆ เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เส้นทางอาชีพของคนรุ่นใหม่เริ่มไม่แน่นอน แม้บางคนจบสายตรงตามที่ตลาดแรงงานต้องการก็ตาม

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์