‘สหรัฐ’ เตรียมเก็บภาษีสินค้าจีน ขูดรีด ‘EV-เหล็ก-โซลาร์’ ตั้งแต่ 27 ก.ย.นี้

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เผยว่า การกำหนดภาษีสินค้าจีนหลายรายการรวมถึงภาษีรถอีวีจีน 100%, โซลาร์เซลล์ 50% และเหล็ก อะลูมิเนียม แบตเตอรี่อีวี และวัสดุสำคัญต่าง ๆ ที่ระดับ 25% นั้น จะมีผลวันที่ 27 ก.ย. นี้ ส่วนภาษีอุปกรณ์อื่น ๆ บางรายการจะมีผลวันที่ 1 ม.ค. 2569

สำหรับการเก็บภาษีเซมิคอนดักเตอร์จากจีน 50% จะรวมสินค้า 2 ชนิดไว้ในหมวดนี้ด้วย ซึ่งได้แก่ แผงเวเฟอร์ซิลิคอน และโพลีซิลิคอน ที่ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568

อย่างไรก็ตาม การกำหนดภาษีล่าสุดนี้ไม่ได้ดำเนินการตามคำเรียกร้องของผู้ผลิตรถยนต์ ที่ต้องการลดภาษีแกรไฟต์และแร่สำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่อีวี เพราะพวกเขายังคงต้องพึ่งซัพพลายจากจีนอยู่

นอกจากขึ้นภาษีสินค้าจีนแล้ว สหรัฐยังได้พยายามบรรเทาภาระภาษีในบางสินค้าด้วย อาทิ ภาษีนำเข้าเครนท่าเรือขนาดใหญ่ที่เรียกเก็บจากผู้ประกอบการท่าเรือสหรัฐ 25% 

ด้วยอุตสาหกรรมเครนท่าเรือ เป็นอุตสาหกรรมที่จีนครองตลาดโดยไม่มีผู้เล่นสหรัฐ USTR จึงอนุญาตให้มีการยกเว้นภาษีเครนท่าเรือของจีนที่สั่งซื้อก่อนวันที่ 14 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศนำเข้าภาษีสินค้าดังกล่าวครั้งแรก แต่จะต้องส่งมอบเครนดังกล่าวภายใน 14 พ.ค. 2569

USTR ยังได้ปรับขึ้นภาษีหน้ากากอนามัยการและถุงมือการแพทย์สู่ระดับ 50% จากเดิมที่เสนอเก็บ 25% แต่ก็เลื่อนการเก็บภาษีนี้ออกไป เพื่อเอื้ออำนวยให้กับซัพพลายเออร์ที่ไม่ใช่จีน

ส่วนภาษีนำเข้ากระบอกฉีดยาจากจีนจะปรับขึ้นเป็น 100% จากเดิมที่วางไว้ 50% แต่ USTR จะอนุญาตยกเว้นภาษีกระบอกฉีดยาที่ใช้สำหรับเด็กทารกเป็นเวลา 1 ปี

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐเผยด้วยว่า หน่วยงานจะพิจารณาคำขอยกเว้นภาษีสินค้าหมวดเครื่องจักรอุตสาหกรรมของจีน 5 ประเภท ซึ่งรวมทั้งเครื่องจักรสำหรับการฟอกหรือกรองของเหลว หุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรม และเครื่องจักรการพิมพ์

ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากการประกาศขึ้นภาษีสินค้าท็อปไลน์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อเดือนพ.ค.

รอยเตอร์สรายงานว่า รัฐบาลไบเดน ยังคงนโยบายภาษีของ ทรัมป์ ที่เรียกเก็บจากสินค้าหลายประเภทจากจีน ตั้งแต่ของเล่นไปจนถึงเสื้อยืด อินเทอร์เน็ตเราเตอร์ และเครื่องจักรในอุตสาหกรรม ณ อัตราภาษี 7.5% - 25% ซึ่งภาษีจากสินค้าเหล่านี้มีมูลค่ามากกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การกำหนดภาษีดังกล่าว ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีว่า การขึ้นภาษี อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์เข้มข้น (semiconductor-intensive product) และยับยั้งการถ่ายโอนเทคโนโลยีของจีนได้น้อย รวมถึงยับยั้งการครอบงำอุตสาหกรรมที่นำไปสู่การผลิตเกินของโรงงานจนล้นตลาดทั่วโลกได้ไม่มาก

ลาเอล เบรนาร์ด ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูงของทำเนียบขาว บอกว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่า อุตสาหกรรมอีวีสหรัฐกระจายความเสี่ยงออกจากซัพพลายเชนของจีน โดยเธอบอกว่า อัตราภาษีที่เข้มงวดและเจาะจงตรงเป้าหมายนั้น จำเป็นต่อการขับสู้กับการให้เงินอุดหนุนและนโยบายถ่ายโอนเทคโนโลยีของจีน ที่ทำให้เกิดการลงทุนและมีการผลิตมากเกินไป ขณะที่รัฐบาลวอชิงตันได้ลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ผ่านการให้เงินอุดหนุนเพื่อพัฒนาอีวี แผงโซลาร์เซลล์ และเซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน

ฝ่ายจีนประกาศตอบโต้การขึ้นภาษีดังกล่าว และแย้งว่า ความสำเร็จของอุตสาหกรรมอีวีมาจากนวัตกรรม ไม่ใช่การสนับสนุนของรัฐบาล ด้านโฆษกของสถานเอกอัครราชทูตจีนในวอชิงตัน ยังไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ ทันทีที่รอยเตอร์ร้องขอ

 

อ้างอิง: Reuters