‘อีลอน มัสก์’ ลั่นแจกเงินโหวตเตอร์เพนซิลเวเนียวันละ 1 ล้านดอลลาร์
อีลอน มัสก์ ประกาศแจกเงินทุกวัน 1 ล้านดอลลาร์แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย กูรูเชื่อผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี ประกาศแจกเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นรัฐสมรภูมิ ทุกวันจนถึงวันเลือกตั้ง
สำนักข่าวบีบีซีและรอยเตอร์รายงานว่า ผู้ชนะรางวัลจะถูกสุ่มเลือกจากผู้ที่ลงนามในข้อเรียกร้องสนับสนุนรัฐธรรมนูญโดยกลุ่มรณรงค์หาเสียงของมัสก์ที่มีชื่อว่าอเมริกาแพ็ค AmericaPAC จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการลงสมัครชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกัน
เช็คเงินล้านใบแรกถูกแจกให้กับผู้เข้าร่วมงานในศาลากลางเมืองเมื่อคืนวันเสาร์ (19 ต.ค.)
อย่างไรก็ตาม การแจกเงินของมัสก์ถูกบางคนตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่มีแนวโน้มจะเลือกทรัมป์เข้าร่วมกิจกรรมการรณรงค์หาเสียง
ริก ฮาเซน ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเลือกตั้งชื่อดัง เขียนในบล็อกกฎหมายการเลือกตั้งส่วนตัว เชื่อว่าข้อเสนอของมัสก์นั้น “ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน"
ทั้งนี้ กฎหมายของรัฐบาลกลางระบุว่าใครก็ตามที่ “จ่ายเงินหรือเสนอที่จะจ่ายหรือยอมรับเงินเพื่อลงทะเบียนเพื่อลงคะแนนเสียงหรือเพื่อลงคะแนนเสียง” อาจถูกปรับ 10,000 ดอลลาร์ หรือถูกจำคุก 5 ปี
แม้ว่าในทางเทคนิคแล้วมัสก์จะขอให้ผู้เข้าร่วมลงนามในคำเรียกร้องของเขา แต่ฮาเซนตั้งคำถามถึงเจตนาเบื้องหลัง กลยุทธ์ดังกล่าว “ใครละที่จะสามารถลงนามในข้อเรียกร้องได้? เฉพาะผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงที่ลงทะเบียนในรัฐสมรภูมิ เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การลงนามในคำร้องดังกล่าวผิดกฎหมาย" ฮาเซน ศาสตราจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) กล่าว
ผู้ที่ลงนามในข้อเรียกร้องซึ่งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเสรีภาพในการพูดและสิทธิในการถือครองอาวุธปืน จะต้องให้รายละเอียดการติดต่อ ซึ่งอาจทำให้อเมริกาแพ็คสามารถติดต่อพวกเขาเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงได้
โดยปกติกลุ่มรณรงค์หาเสียงอิสระและทีมหาเสียงของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใช้กลวิธีต่างๆ เช่น การลงนามในคำร้อง การขอสำรวจความคิดเห็น หรือการซื้อสินค้า เพื่อสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จากนั้น ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้มีสิทธิ เลือกตั้งได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น หรือระดมทุนจากผู้สนับสนุนที่เข้าร่วมอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ มัสก์เคยเสนอที่จะให้เงิน 47 ดอลลาร์แก่ใคร ก็ตามที่สามารถทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนในรัฐ สมรภูมิ หรือสวิงสเตท ลงนามในคำร้องของได้
กลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการรณรงค์ เช่น แฮนเซน ไม่พอใจ กระนั้นกลยุทธ์ดังกล่าวอาจใช้ช่องโหว่ภายใต้กฎหมายการเลือกตั้งของสหรัฐ เนื่องจากไม่มีใครได้รับเงินโดยตรงเพื่อลงคะแนนเสียง แม้ว่าจะมีการนำเงินมา ใช้ในกระบวนการที่สามารถระบุผู้ที่น่าจะมีสิทธิเลือกตั้งให้กับทรัมป์ก็ตาม
ในสหรัฐ การจ่ายเงินเพื่อให้คนออกมาลงคะแนนเสียงถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่สำหรับผู้สมัครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงคะแนนเสียงอีกด้วย
กฎดังกล่าวทำให้บริษัทผลิตไอศกรีม Ben & Jerry's แจก ผลิตภัณฑ์ฟรีให้ทุกคนในวันเลือกตั้งในปี 2008 โดยเดิมทีมีแผนที่จะจำกัดให้เฉพาะผู้ที่มีสติกเกอร์ “ฉันลงคะแนนเสียง แล้ว” เท่านั้น
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จอช ชาปิโร ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นคนของพรรคเดโมแครตที่สนับสนุน คามาลา แฮร์ริส คู่แข่งทรัมป์ กล่าวถึงกลยุทธ์ของมัสก์ว่า “น่ากังวลอย่างยิ่ง”
ชาปิโรกล่าวกับรายการ Meet the Press ของ NBC News ว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอาจเข้ามาตรวจสอบการจ่าย เงินดังกล่าว
มัสก์ซึ่งกลายมาเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของทรัมป์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวอเมริกาแพ็ค ในเดือน กรกฎาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของอดีตประธานาธิบดี
จนถึงขณะนี้ เขาบริจาคเงิน 75 ล้านดอลลาร์ ให้กับกลุ่มดังกล่าว ซึ่งกลายมาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์หา เสียงของทรัมป์ การรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นั้นต้องอาศัยกลุ่มภายนอก อย่างเช่น AmericaPAC เป็นอย่างมากในการหาเสียงจากผู้ มีสิทธิเลือกตั้ง แถลงการณ์ในเว็บไซต์ของกลุ่มระบุว่า “AmericaPAC ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนค่านิยมสำคัญเหล่านี้ ได้แก่ พรมแดนที่ปลอดภัย เมืองที่ปลอดภัย การใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด ระบบยุติธรรมที่ยุติธรรม เสรีภาพในการพูด สิทธิในการปกป้องตนเอง”
นายมัสก์กล่าวว่าเขาต้องการให้ “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า หนึ่งล้านคน หรืออาจจะสองล้านคนในรัฐสมรภูมิต่างๆ ลง นามในคำร้องเพื่อสนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้ง ที่หนึ่งและครั้งที่สอง[ในอดีต]”
“ผมคิดว่า [คำร้อง] จะส่งสารสำคัญไปยังนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งของเรา” เขากล่าวเสริม
ปัจจุบัน มัสก์เป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลก มีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 2.48 แสนล้านดอลลาร์ ตามรายงานของนิตยสาร Forbes