ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน ‘อาเซียน’ ส่งออกไป ‘สหรัฐ’ มากกว่าจีน

ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน ‘อาเซียน’ ส่งออกไป ‘สหรัฐ’ มากกว่าจีน

มาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าจีนของรัฐบาลวอชิงตัน โดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัยที่บังคับใช้ช่วงต.ค. 2565 ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่หันไปลดการพึ่งพาจีน มีส่วนทำให้อาเซียนส่งออกไปสหรัฐมากกว่าจีนสองไตรมาสติดต่อกัน

มูลค่าการส่งออกของอาเซียนไปยังสหรัฐแซงหน้ามูลค่าการส่งออกไปยังจีนเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ในช่วงเดือนเม.ย. - มิ.ย. ตอกย้ำถึงความสำคัญของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีความรุนแรงมากขึ้น และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก

นิกเคอิเอเชียได้รวบรวมข้อมูลการค้าโดยอ้างอิงจากสำนักงานสถิติของสำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นหลัก และเสริมด้วยตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบรายงานท้องถิ่นเพื่อเทียบข้อมูล และหาบริบทเพิ่มเติมด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่า ยอดการส่งออกของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศไปยังสหรัฐขยายตัวแตะ 74,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.- มิ.ย. เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และมากกว่าการส่งออกไปจีนที่ระดับ 71,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% จากปี 2566

ในบรรดาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของภูมิภาค ฟิลิปปินส์มียอดส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเพิ่มขึ้น 35% รองลงมาเป็นเวียดนามที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น 24% และมาเลเซียเพิ่มขึ้น 11%

ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน ‘อาเซียน’ ส่งออกไป ‘สหรัฐ’ มากกว่าจีน

จุน เนรี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารฟิลิปปินส์ไอร์แลนด์ กล่าวว่า “นอกเหนือจากประสิทธิภาพของเศรษฐกิจสหรัฐที่มีความยืดหยุ่น ประกอบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอื่นๆ แล้ว การส่งออกที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลกที่พยายามออกห่างจากจีนนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด”

เนรีชี้ด้วยว่า การล็อกดาวน์โควิดเป็นเวลานานของจีนทำให้หลายประเทศต้องย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือย้ายไปยังประเทศใกล้เคียง

เมื่อดูที่ยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และเครื่องจักรขององค์การศุลกากรโลกพบว่า เวียดนามส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้น 41% ในไตรมาสสอง รองลงมาเป็นฟิลิปปินส์ที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น 36% ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้น 16% และมาเลเซียส่งออกได้เพิ่มขึ้น 9%

นิกเคอิเอเชียระบุว่า มาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าจีนของรัฐบาลวอชิงตัน โดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัยที่บังคับใช้ช่วง ต.ค.2565 ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่หันไปลดการพึ่งพาจีน

ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน ‘อาเซียน’ ส่งออกไป ‘สหรัฐ’ มากกว่าจีน

เวียดนาม” ถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศก้อนใหม่ได้จากผู้ส่งออกที่ตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทานของตน ตัวอย่างเช่น ฮานา ไมครอน วีนา ผู้ผลิตชิปสัญชาติเกาหลีใต้ ได้สร้างโรงงานใน จ.บั๊กซาง ทางภาคเหนือของเวียดนามเมื่อเดือน ก.ย. 2566

ตามข้อมูลจากสื่อท้องถิ่น VnEconomy ระบุว่า บริษัทนี้มีแผนเพิ่มมูลค่าการลงทุนในเวียดนามทั้งหมดสู่ระดับมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2568 จากระดับ 600 ล้านดอลลาร์ในปี 2565

ส่วนเอสเค กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้ เข้าซื้อ Iscvina Manufacturing ซึ่งเป็นบริษัทผลิต และค้าเซมิคอนดักเตอร์ในจ.หวิงฟุก ทางภาคเหนือของเวียดนาม มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ โดยในช่วงต้นเดือนต.ค. ฮังซึงวอน ผู้จัดการ เอสเค กรุ๊ปเวียดนาม ไปเยือนจ.หวิงฟุก และประกาศดีลซื้อบริษัทดังกล่าว

เนื่องด้วยภาคเหนือของเวียดนามติดกับพรมแดนจีน ดังนั้น ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากจึงเลือกตั้งโรงงานที่นั่น เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์จากซัพพลายเชนจีน และง่ายต่อการส่งสินค้าออกจากท่าเรือน้ำลึกแหล็กเฮวี่ยน (Lach Huyen International Port) ท่าเรือขนาดใหญ่ที่เปิดบริการเมื่อปี 2561

ขณะที่ซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ก็มีโรงงานขนาดใหญ่ใน จ.บั๊กนิญ และจ.ท้ายเงวียน ทางภาคเหนือของเวียดนามเช่นกัน

แบร์รี ไวส์บลัตต์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก VNDIRECT Securities ชี้ว่า แค่เศรษฐกิจที่สหรัฐที่แข็งแกร่งอย่างเดียวยังไม่สามารถบ่งบอกถึงการเติบโตของการส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐได้

“ความสัมพันธ์ทางการทูตของเวียดนามกับสหรัฐที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนค่าแรงต่ำ และแรงงานมีทักษะสูง ช่วยหนุนการส่งออกของประเทศ” ไวส์บลัตต์ กล่าวและเสริมว่า “ตอนนี้สงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ดุเดือดมากขึ้นทำให้ภาคการผลิตของเวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นด้วย เราคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้งสหรัฐก็ตาม”

ขณะที่ “มาเลเซีย” ก็มีความพร้อมเพิ่มการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังสหรัฐและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินการส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และวางสถานะให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตโลกที่เป็นกลางทางการเมือง

เมื่อเดือนส.ค. อินฟินีออน (Infineon) บริษัทผลิตชิปชั้นนำในยุโรปได้เริ่มดำเนินการผลิตในโรงงานผลิตชิปพลังงานขนาดใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย

บริษัทเผยว่า โรงงานในเมืองคูลิมของมาเลเซียจะเป็นโรงงานผลิตซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากบรรลุระดับกำลังการผลิตเต็มที่ในอีก 5 ปีข้างหน้า และอินฟินีออนมองเห็นถึงความต้องการจากภาคพลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า และดาต้าเซนเตอร์เอไอ

ส่วนประเทศไทย ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เนื่องจากมีอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ กำลังส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

 

อ้างอิง: Nikkei Asia

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์