เฮดจ์ฟันด์ขาชอร์ตขาดทุนยับ 5,000 ล้าน! หลังหุ้น ‘Tesla’ ทะยานหลังทรัมป์ชนะ
หลังชนะเลือกตั้งครั้งยิ่งใหญ่ของทรัมป์ หุ้น Tesla ได้พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เคยเดิมพันให้หุ้นร่วงต้องขาดทุนมหาศาลกว่า 5,000 ล้านดอลล์
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ “ขายชอร์ต” หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง “เทสลา” (Tesla) ต้องสูญเงินไปกว่า 5,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.7 แสนล้านบาท นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐ โดยราคาหุ้น Tesla พุ่งทะยานฟ้าจากการที่ตลาดเก็งว่า บริษัทอีวีรายนี้จะได้รับอานิสงส์ภายใต้รัฐบาลทรัมป์
ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Tesla ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่สนับสนุนทรัมป์รายใหญ่ที่สุดในขณะนี้ โดยมัสก์ได้ใช้สถานะของเขาในฐานะบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพื่อสนับสนุนการหาเสียงของทรัมป์อย่างเต็มที่ การตัดสินใจเข้าข้างว่าที่ประธานาธิบดีช่วยเปิดโอกาสให้มัสก์มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ขณะที่ทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนว่า มีแผนที่จะตอบแทนผู้สนับสนุนที่จงรักภักดี
เพอร์ เลแคนเดอร์ ซีอีโอของบริษัทจัดการเฮดจ์ฟันด์ Clean Energy Transition กล่าวว่า เขาถือสถานะขายชอร์ตเล็กน้อยในหุ้น Tesla ก่อนการเลือกตั้ง แต่เขาสามารถลดสถานะนี้ลงได้ค่อนข้างมาก ทำให้การขาดทุนของเขาจบลงที่ค่อนข้างน้อย
“แต่เราก็เสียเงินไปบ้าง” เขากล่าว
นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน หุ้น Tesla ได้ปรับตัวขึ้นเกือบ 30% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางสถานการณ์นี้ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เคยเดิมพันให้ Tesla ร่วง ต่างรีบเปลี่ยนทิศทางการเดิมพันเป็นขาขึ้นแทน
จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน กองทุนเฮดจ์ฟันด์เพียง 7% เท่านั้นที่ถือสถานะชอร์ตในหุ้น Tesla ซึ่งลดลงจาก 17% ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ตามข้อมูลรายสัปดาห์ของ Hazeltree ผู้ให้บริการโซลูชั่นการบริหารการเงิน อย่างไรก็ตาม มีเพียง 8% เท่านั้นที่ถือสถานะลองขาขึ้นในหุ้นดังกล่าว
ที่ผ่านมา แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เช่น ความตึงเครียดทางการค้า ความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนกรกฎาคม กองทุนเฮดจ์ฟันด์เกือบหนึ่งในห้าของที่ Hazeltree ติดตาม ได้เปิดชอร์ต Tesla แต่กลับผิดพลาดอย่างรุนแรง หลังจากบริษัทเผยยอดขายที่เติบโตจนดันราคาหุ้นให้พุ่งขึ้น
ในปีนี้ ภาคยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวมได้สูญมูลค่ากว่า 12% โดยอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของดัชนี KraneShares Electric Vehicles and Future Mobility Index ETF ซึ่งต่อเนื่องจากการลดลงประมาณ 9% ในปี 2023 ตรงกันข้าม เทสลาได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ในปีนี้ หลังจากเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปีที่ผ่านมา
ผลงานของ Tesla ยังโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียว โดยเมื่อตลาดรับรู้ข่าวการชนะของทรัมป์ หุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทน ตั้งแต่พลังงานลมไปจนถึงพลังงานแสงอาทิตย์เริ่มร่วงลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความกังวลว่า ทรัมป์จะทำตามคำสัญญาที่จะตัดทอนสิทธิประโยชน์สำหรับพลังงานสะอาด
มัสก์ได้ขอรับตำแหน่งในรัฐบาลทรัมป์ที่สามารถช่วยให้เขาตัดลดการบริหารงานของรัฐบาลที่ล่าช้าและสิ้นเปลือง ทรัมป์ตอบรับแนวคิดนี้อย่างรวดเร็ว โดยอาจให้ตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงการตัดลดค่าใช้จ่าย” สำหรับซีอีโอของ Tesla
อย่างไรก็ตาม เลแคนเดอร์มองว่า แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์กับมัสก์จะแน่นแฟ้น แต่ชัยชนะของทรัมป์อาจถือเป็นเรื่องลบสำหรับ Tesla ในฐานะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ โดยเขาคาดการณ์ว่า ในช่วงเวลา 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า การบริหารงานของทรัมป์จะตัดสิทธิประโยชน์หลายประการที่ Tesla ได้รับ
เลแคนเดอร์ประเมินว่า อิทธิพลจากทรัมป์มีส่วนหนุนประมาณหนึ่งในสามของราคาหุ้น Tesla ที่มีมูลค่ากว่า 300 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
“ดังนั้นตอนนี้ หุ้นของ Tesla กลายเป็นการเดิมพันว่า ทรัมป์จะสามารถช่วยอีลอนได้มากแค่ไหน” เลแคนเดอร์กล่าว
อ้างอิง: bloomberg