เจาะงบ Tesla ไตรมาส 3 ทำไมหุ้นบวกแรงสุดในรอบ 11 ปี

เจาะงบ Tesla ไตรมาส 3 ทำไมหุ้นบวกแรงสุดในรอบ 11 ปี

เจาะงบ Tesla ไตรมาส 3 ทำไมหุ้นบวกแรงสุดในรอบ 11 ปี มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 9% YoY อยู่ที่ $0.72 สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ $0.59 รับปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และการลดต้นทุนการผลิตต่อคัน หนุนให้ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้น

ในช่วงนี้ปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ การประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ในสหรัฐ โดยเฉพาะผลดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ซึ่งเริ่มมีทยอยประกาศออกมาบ้างแล้ว โดย บลจ.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัทแรกที่มีการประกาศงบออกมา คือ บริษัท Tesla ซึ่งรายงานผลกำไรออกมาดีกว่าคาด และหนุนให้ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้น +21.92% ในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 หลังตลาดทราบผลการดำเนินงาน ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นใน 1 วันที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา โดยในบทความนี้

จะมาพูดถึงรายละเอียดผลการดำเนินงานของ Tesla และเหตุผลที่ทำให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อ Tesla รวมถึงกำหนดการประกาศงบของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ที่เหลือซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ  ในช่วงต่อจากนี้

โดย Tesla รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุด มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 9% YoY อยู่ที่ $0.72 สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ $0.59 รับปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และการลดต้นทุนการผลิตต่อคัน ที่ช่วยทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.8% สูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 7.6%

ในด้านรายได้ ยังคงเติบโตถึง 8% YoY อยู่ที่ $25.18 billion โดยรับแรงหนุนหลักจากรายธุรกิจพลังงานไฟฟ้า Energy generation and storage ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% YoY และรายได้บริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 29% YoY หลังบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากบริการโปรแกรมขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self Driving - FSD) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่คาดว่าจะเป็นแหล่งรายได้หลักของ Tesla ในอนาคตนอกจากรายได้จากการขายรถยนต์

ทั้งนี้ Elon Musk, CEO ของ Tesla ได้กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเริ่มผลิตรถรุ่นราคาถูกในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ซึ่งอาจช่วยขยายฐานการตลาดใหม่ให้บริษัท และคาดว่ายอดขายรถยนต์ของ Tesla ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 20-30% นอกจากนี้ Musk ยังเผยว่าทางบริษัทกำลังพยายามผลักดันให้ระบบขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ Full Self Driving (FSD) ได้รับการยอมรับและถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น และมองว่าระบบดังกล่าวจะเป็นสร้างรายได้ใหม่ที่มั่นคงให้กับบริษัทในอนาคต โดยในปีหน้า Musk คาดว่าระบบดังกล่าวจะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการใน Texas และ California ในปีหน้า

นักวิเคราะห์เริ่มกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อ Tesla หลังผลกำไรกลับมาดีกว่าคาดอีกครั้ง โดยมองว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคา Tesla หลังบริษัทประกาศผลการดำเนินงานออกมา ในครั้งนี้ มีปัจจัยหนุน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.ตลาดให้ความคาดหวังต่อการที่ Tesla จะประกาศผลกำไรออกมาสูงกว่าคาดนั้นต่ำ เนื่องจากบริษัทเคยรายงานพลาดเป้าติดต่อกันมาแล้ว 4 ครั้งติด ทำให้พอผลกำไรในครั้งนี้ออกมาดีกว่าคาด จึงหนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นแรง

2.บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการขยายอัตรากำไรจากการดำเนินงาน จากการนำ AI เข้ามาใช้ โดยมองว่าหลังจากนี้บริษัทจะยังเดินหน้าให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยทำให้ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทหลังจากนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

3.Musk ได้ออกมาให้แนวทางการบริหารของบริษัทที่ชัดเจน ที่จะเริ่มขยายฐานการตลาดรถใหม่ รวมถึงพยายามผลักดันระบบ Full Self Driving (FSD) ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของบริษัท รวมถึงการคาดการณ์เชิงบวกในมุมของยอดขายรถยนต์ในปี 2025 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20-30%

โดยจากผลการดำเนินงานที่ออกมา และมุมมองของนักวิเคราะห์ แสดงให้เห็นว่า Tesla เป็นบริษัทหนึ่งที่มีศักยภาพในการหาช่องทางการเติบโตใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงคุณภาพการดำเนินงานของบริษัทได้อย่างดี ทั้งนี้หลังจากนี้เรายังต้องติดตามเรื่องการผลักดันระบบ Full Self Driving (FSD)  ในหลายประเทศว่าจะได้รับการยอมรับ และถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นหรือไม่ รวมทั้งยังต้องเฝ้าติดตามการรายงานยอดส่งมอบรถ หลังจากนี้ว่าเป็นไปตามที่บริษัทคาดหวังไว้หรือไม่

อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ยังมีบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 หลายบริษัทที่จะเริ่มประกาศผลการดำเนินงานในช่วงสัปดาห์หน้า ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่างบที่ออกมาจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และดีกว่าคาด และจะช่วยหนุนให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีขึ้น หลังตลาดเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์