มอร์แกน สแตนลีย์เตือนปีนี้จีนแบกหนี้ท่วม
เศรษฐกิจจีนยังคงซบเซาในไตรมาสแรก แต่จะเห็นความพยายามมากขึ้นจากผู้กำหนดนโยบายและภายในไตรมาส 2 คิดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริงจะเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการของรัฐบาลจะเริ่มเห็นผล
“มอร์แกนสแตนลีย์” วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ เตือนว่า ปัญหาหนี้สินของจีนมีแนวโน้มจะเลวร้ายลงในปีนี้ แต่คาดว่าครั้งนี้ รัฐบาลปักกิ่งจะจัดการความเสี่ยงที่ประชาชนไปกู้ยืมเงินจากช่องทางนอกระบบได้ดีขึ้นเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา
“หนี้ของจีนซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจประเทศ มีแนวโน้มที่จะทะยาน 3-4% ในปีนี้” โรบิน ซิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของมอร์แกน สแตนลีย์ เผยกับเว็บไซต์ซีเอ็นบีซี วานนี้ (22 ก.พ.) โดยอ้างถึงสัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
“ครั้งนี้จะแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขา (รัฐบาลจีน) กำลังใช้มาตรการที่บริหารจัดการได้หรือโปร่งใสมากกว่าการกลับมาเปิดธนาคารเงาหรือช่องทางการเงินนอกระบบ อีกครั้ง” ซิงกล่าว และบอกว่า รัฐบาลจีนกำลังเพิ่มโควตาพันธบัตรพิเศษท้องถิ่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐ
ธนาคารเงา หมายถึงกิจกรรมที่ดำเนินการโดยบริษัทการเงินนอกอุตสาหกรรมธนาคารที่เป็นทางการ และมีการกำกับดูแลน้อยกว่าและมีความเสี่ยงสูงกว่าสถาบันการเงินในระบบ
บรรดาธนาคารรัฐวิสาหกิจมักปล่อยสินเชื่อกับบริษัทของรัฐบาล เนื่องจากมองว่าเป็นผู้กู้ที่ปลอดภัยมากกว่าบริษัทเอกชน ผลคือบรรดาบริษัทเอกชนต้องหันไปพึ่งธนาคารเงา และทำให้ระดับหนี้สินทั้งหมดของจีนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“แม้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ขณะนี้รัฐบาลใช้วิธีที่บริหารจัดการได้และโปร่งใสกว่าระหว่างปี 2556-2560 ช่วงที่ธนาคารเงาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น” ซิงสรุป
เศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกพยายามที่จะลดการพึ่งพาหนี้สิน และออกกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น เพื่อเร่งให้เกิดการปลดหนี้ หรือกระบวนการลดหนี้สินเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม สงครามการค้ากลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งในการลดระดับหนี้สิน เนื่องจากจีนต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐที่เก็บจากสินค้าส่งออกของจีน
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า จีนเลือกพักความพยายามลดหนี้ชั่วคราว และหันไปเพิ่มความพยายามในการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อประคองเศรษฐกิจ
“ข้อมูลสินเชื่อเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า จุดยืนทางการเงินและการคลังของจีนเริ่มส่งผลให้มีการกู้สินเชื่อมากขึ้นในเศรษฐกิจที่แท้จริง” หลุยส์ คูจิส หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์เอเชียจากบริษัทออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุในรายงานที่เผยแพร่สัปดาห์นี้
คูจิส เสริมว่า ธนาคารจีนปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.57 ล้านล้านหยวนในเดือนม.ค. ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากทางการที่ต้องการเพิ่มอัตราการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคบริษัท โดยเฉพาะภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม เขาคาดว่าการเติบโตรายปีของสินเชื่อทั้งหมดในจีนจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ มาอยู่ที่ระดับปานกลางมากขึ้น หรืออยู่ที่ประมาณ 2%
ขณะที่ซิงของมอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า ข่าวดีคือมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลจีนจะเริ่มเห็นผลในไตรมาส 2 ของปีนี้