มารยาทการทูต-ภาวะผู้นำ ช่วงวิกฤติสาธารณสุขโลก
การระบาดของ "โควิด-19" ที่จุดชนวนต่อต้านชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในรูปแบบต่างๆ และบานปลายสู่การกล่าวโทษกันไปมาของสองมหาอำนาจ แต่ผู้นำอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" กลับดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก
เหตุการณ์บางอย่างในประวัติศาสตร์โลก มักบอกเล่าเรื่องราวและคำพูดเด็ดๆของบุคคลสำคัญของช่วงเวลานั้นๆ ทำให้เราได้เรียนรู้และเกิดภาพจำเกี่ยวกับบรรดาผู้นำในประวัติศาสตร์เหล่านั้นได้ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คำพูดเพียงไม่กี่คำที่ออกจากปากของผู้นำชาติมหาอำนาจสหรัฐอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" ย่อมสะท้อนถึงมุมมอง ทัศนคติ วิสัยทัศน์ ตลอดจนภาวะผู้นำของผู้พูดได้อย่างชัดเจน
องค์การอนามัยโลก (ดับบลิวเอชโอ) ออกแถลงการณ์เตือนว่า ไม่ให้มีการเรียกชื่อโรคโควิด-19 ว่าเป็น “ไวรัสจีน” โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ที่ผิดๆ ต่อเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง
“ไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดนประเทศ และไม่ได้สนใจเรื่องชาติพันธุ์ของคุณ สีผิวของคุณ หรือเงินที่คุณมีอยู่ในธนาคาร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำ เนื่องจากจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ผิดๆต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับไวรัสดังกล่าว” นพ.ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินของดับบลิวเอชโอ ได้กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าว ซึ่งถามเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกโรคโควิด-19 เป็น “ไวรัสจีน” ซึ่งทำให้มีการสร้างความเกลียดชังต่อชาวเอเชีย
"ไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดนประเทศ และไม่ได้สนใจเรื่องชาติพันธุ์ของคุณ
สีผิวของคุณ หรือเงินที่คุณมีอยู่ในธนาคาร"
นพ.ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินของดับบลิวเอชโอ
ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวันจันทร์ (16มี.ค.)ว่า รัฐบาลสหรัฐจะให้การสนับสนุนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสจีน” เช่น อุตสาหกรรมการบินและอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
และล่าสุด เมื่อวันพุธ(18มี.ค.) ทรัมป์ก็บอกว่า เขาเป็นประธานาธิบดีในยามสงคราม เพื่อทำสงครามต่อต้าน “ไวรัสจีน” และต่อข้อถามจากผู้สื่อข่าวที่ว่า เหตุใดเขาจึงเรียกโควิด-19 ว่าเป็นไวรัสจีน ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า “เพราะว่าไวรัสนี้มาจากจีน”
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ดับบลิวเอชโอ ประกาศตั้งชื่ออย่างเป็นทางการสำหรับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยใช้ชื่อว่าโควิด-19 ซึ่งย่อมาจาก “coronavirus disease starting in 2019”
และดับบลิวเอชโอ ระบุว่า หลักการตั้งชื่อไวรัสจะหลีกเลี่ยงการอ้างอิงถึงสัตว์ ชนิดของสัตว์ ชื่อคน วัฒนธรรม ประชากร อุตสาหกรรม อาชีพ หรือสถานที่ตามภูมิศาสตร์ เพื่อไม่ให้สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการถูกตั้งเป็นชื่อของไวรัส
ก่อนหน้านี้ สื่อมวลชนบางแห่งตั้งชื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” และเจ้าหน้าที่ดับบลิวเอชโอ ยังได้ยกตัวอย่างการตั้งชื่อ “ไข้หวัดหมู” และ “โรคทางเดินหายใจสายพันธุ์ตะวันออกกลาง” หรือเมอร์ส ซึ่งจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุกร หรือภูมิภาคตะวันออกกลาง
“เกา เฟิง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวเมื่อวันอังคาร (17 มี.ค.) ด้วยการประท้วงแสดงความไม่พอใจกรณีที่ทรัมป์ โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเรียกโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” ซึ่งเกามองว่า นักการเมืองบางคนของสหรัฐได้เชื่อมโยงโควิด -19 เข้ากับจีนซึ่งเป็นการสร้างมลทินให้กับประเทศ โดยการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโลกและประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันต่อต้าน จีนจึงขอแสดงความไม่พอใจและคัดค้านการกระทำนี้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยังกล่าวด้วยว่า ปัจจจุบันโรคโควิด -19 ได้แพร่กระจายไปยังทั่วโลก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความร่วมแรงร่วมใจระหว่างประเทศเพื่อร่วมกันจัดการกับปัญหานี้ โดยสหรัฐควรจัดการกับการระบาดภายในประเทศของตัวเองและร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุข
จีนพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อโรคปอดอักเสบครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และถูกวิจารณ์ว่าเจ้าหน้าที่พยายามปกปิดข่าว ขณะนี้จีนควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และเจ้าหน้าที่รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์จีนกำลังประโคมทฤษฎีที่ว่าไวรัสนี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดในจีน
ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้โทรศัพท์ถึงหยาง เจียฉือ มนตรีแห่งรัฐของจีน แสดงความไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่จีนโยนความผิดมาให้สหรัฐ และวันศุกร์ที่แล้วกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ยังเรียกทูตจีนเข้าพบเพื่อแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ประเด็นนี้ ถือเป็นเรื่องอ่อนไหวระหว่างสองชาติมหาอำนาจ หลังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทั้งสองรัฐบาลต่างกล่าวโทษกันไปมาว่า อีกฝ่ายอาจเป็นต้นตอของเชื้อที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก และเมื่อมีนักข่าวถามถึงประเด็นนี้กับทรัมป์ที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ปัดที่จะให้ความเห็น กล่าวแค่ว่า คนที่พูดไม่ได้พูดในนามรัฐบาล
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังยืนยันว่า รัฐบาลรับมือสถานการณ์ได้ถูกต้องและฉับไวแล้ว ตั้งแต่การปิดห้ามคนจีนเข้าประเทศแต่เนิ่นๆ และสัญญาว่า รัฐจะต้องช่วยเหลือภาคการบินให้ฟื้นคืนให้ได้ เพราะถือว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของอุตสาหกรรมการบินแต่อย่างใด
ประเด็นนี้ ไม่ได้จุดชนวนขัดแย้งในหมู่นักการทูตสองชาติเท่านั้น แม้แต่ “เจเรมี หลิน” อดีตซูเปอร์สตาร์แห่งศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ ยังอดรนทนไม่ไหว ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ ว่าแบ่งแยกเชื้อชาติ ด้วยคำพูดไวรัสจีนต่อหน้าสาธารณชน
ทั้งนี้ สำนักข่าวซีบีเอส ได้รายงานว่า การระบาดของ ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ จุดชนวนต่อต้านชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบ่งแยกเชื้อชาติ และข่มขู่ทำร้ายร่างกาย