Ford Ranger Raptor นุ่ม แน่น แรง อารมณ์สปอร์ต มาเต็ม
ออกตัวได้ดีทีเดียว สำหรับ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ (Ranger Raptor) ใหม่ ที่เผยโฉมในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ และมียอดจอง 1,610 คัน และถึงวันนี้ทะลุ 2,800 คัน แต่ว่ารถตัวจริงจะลงโชว์รูมอย่างเป็นทางการ วันที่ 19 สิงหาคมนี้ แต่วันนี้เราจะมาลองขับ Raptor กันก่อน
ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ (Ford Ranger Raptor) โฉมใหม่ มีแนวทางการออกแบบที่ดูดุดันขึ้น และมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเทียบกับโฉมเดิม
เช่น ฝากระโปรงหน้าที่นูนขึ้น เป็นการสื่อให้เห็นว่า มันมีขุมพลังที่ดุดันกว่า ปิกอัพ เรนเจอร์ทั่วไป หรือว่าด้านท้ายที่ติดตั้งท่อไอเสียคู่ ซึ่งมันถึงขยับสูงขึ้น ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการใช้งาน คือเลี่ยงสิ่งกีดขวางแล้ว การเห็นมันเด่นชัดขึ้นทำให้เพิ่มอารมณ์สปอร์ตเข้าไปด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ แร็พเตอร์ ยังตกแต่งส่วนต่างๆ ด้วยสีเทาเข้ม
ส่วนจุดเด่นอื่นๆ ภายนอก เช่น โลโก้ FORD ขนาดใหญ่กันชนหน้า-หลัง ทำจากเหล็ก เพื่อความแข็งแรงทนทานรองรับการใช้งานออฟโรด และมีแผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง ไฟหน้า แมททริกซ์ แอลอีดี ซุ้มล้อขนาดใหญ่ เป็นต้น
เมื่อเปิดประตูรถ สิ่งที่เห็นโดดเด่นก่อนใครก็คือ เบาะนั่งที่ตกแต่งด้วยสีส้ม ซึ่งฟอร์ดบอกว่า แนวทางการออกแบบเบาะนั่ง ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเบาะเครื่องบินขับไล่ F-22 Raptor โดยออกแบบให้เบาะโอบกระชับลำตัว ช่วยได้ดีเมื่อขับขี่แบบสปอร์ต หรือ ในเน้นทางคดโค้ง หรืองาน ออฟโรด เพราะตัวผู้ขับจะไม่ลื่นไถล ช่วยให้ควบคุมรถได้ดี
เป็นเบาะนั่งหนังแท้ ผสมหนังกลับ และวัสดุผิวด้าน แบบ ซูเปอร์แมตต์ ปรับด้วยไฟฟ้า
การตกแต่งในห้องโดยสารส่วนอื่นๆ ก็ใช้วัสดุสีส้มในหลายๆ ส่วน แผงหน้าปัด และด้านบนแผงประตูบุด้วยหนัง เทอร์รา ซูเอด มีความนุ่ม และเคลือบผิวแบบด้าน เพื่อลดการสะท้อนแสง ช่วยได้ดีเมื่อขับขี่ท่ามกลางแดดจัดๆ ไม่รบกวนสายตา
พวงมาลัยหุ้มหนัง ผมว่าดีเลยครับ คุณภาพของหนังดี จับแล้วกระชับมือแบบแบบรู้สึกได้ ช่วยในการเรื่องของการควบคุมได้ดี เพราะไม่ลื่น ไม่หลงตำแหน่ง และออกแบบให้มีที่พักนิ้วโป้ง ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยเมื่อเดินทางไกลๆ แต่ว่าถ้าลงไปขับออฟโรด ก็ควรจะต้องยึดถึอหลักการเดิมนะครับ คือ ทุกนิ้ว รวมถึงนิ้วโป้ง ควรอยู่ด้านนอกของพวงมาลัย
และก็มีแถบสีส้มเล็ก ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของพวงมาลัย เอาไว้บอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย เหมาะกับการขับขี่ในเส้นทางออฟโรด
และถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีปุ่ม R ที่พวงมาลัย นั่นก็คือ Costom Mode เอาไว้ให้ผู้ขับตั้งเอง ว่าจะเอาการตอบสนองของเครื่องยนต์แบบไหน พวงมาลัย หรือ ช่วงล่างแบบไหน ที่นอกเหนือไปจาก 7 โหมดหลักๆ ที่รถมีให้
จอแสดงข้อมูลการขับขับขี่ หรือแผงหน้าปัด มีขนาดใหญ่ 12.4 นิ้ว สามารถเลือกการแสดงผลได้ตามต้องการ
ติดตั้งจอมอนิเตอร์แนวตั้งขนาดใหญ่ 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อ ควบคุมระบบบันเทิง ระบบปรับอากาศ รวมถึงระบบการทำงานอีกหลายอย่างของรถ เช่น Auto Brake Hold ที่หาปุ่มข้างนอกไม่เจอ ให้มาเลือกควบคุมได้ผ่านหน้าจอ
การควบคุมการทำงานของ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ใหม่ ยังรวมถึงการเลือกโหมดท่อไอเสีย แบบจะเอาเสียงดุดัน เพิ่มอารมณ์สปอร์ต หรือ เสียงเงียบ เมื่อจะออกจากบ้านตอนตี 5 หรือ เข้าบ้านตอนตี 4 ก็ตาม
ระบบการขับขี่ มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งโหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดทางลื่น โหมดทราย หญ้า โหมดทางร่อง โหมดทางหิน ไปจนถึง โหมด BAJA เอกลักษณ์ของฟอร์ด สำหรับผู้ที่ชอบขับขี่ทางออฟโรดด้วยความเร็วสูง
การเลือกโหมดต่างๆ ทำได้ง่ายๆ ด้วยปุ่มหมุนแถวคอนโซลเกียร์ และระบบจะเลือกการกระจายกำลังไปที่ล้อเองว่าว่าจขับเคลื่อน 2 ล้อ 4 ล้อแบบแรงบิดสูง (4L) หรือ 4 ล้อแบบใช้ความเร็ว (4H)
จริงๆ แล้วใน เรนเจอร์ แร็พเตอร์ โหมดขับ 4 ล้อจะมี 3 แบบ คือ 4H, 4L และ 4A หรือ เป็นโหมด ออล วีล ไดรฟ์ ที่ระบบจะเลือกให้เองว่าจะขับเคลื่อนแบบไหน แต่ถ้าไม่ต้องการใช้โหมดนี้ ก็สามารถเอานิ้วไปกดที่ 2H ได้เลย
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ยังมีระบบใหม่คือ Trail Control หลักการเข้าใจง่ายๆ คือ เป็นเหมือนกับ Cruise Control ของการใช้งานออฟโรด ซึ่งระบบนี้้จะทำงานได้หลากหลายมากขึ้น ควบคุมทั้งการขึ้นเนิน ลงเนิน และทางราบ ดังนั้นจึงรวมเอาการทำงานของระบบช่วยลงทางชัน หรือ Hill Descent Control หรือระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HAC) มาไว้ด้วย ดังนั้นไม่ต้องไปหาปุ่มควบคุมระบบที่ว่า
ยังมีอีกหลายโหมดสำหรับการขับขี่ทางออฟโรด แต่ว่าผมจะยังไม่พูดถึงมากนัก เพราะว่าการลองขับ Raptor วันนี้เป็นการขับบนทางเรียบเป็นส่วนใหญ่
ส่วนการลุยออฟโรดหนักๆ รวมถึงโหมด BAJA เอาไว้ต้นเดือนหน้า จะมาเล่าให้ฟังอีกรอบครับ
เครื่องยนต์ที่มากับ แร็พเตอร์ ใหม่ เป็นที่กล่าวถึงกันมาก เพราะเปลี่ยนจากตัวเดิมแบบกระชากอารมณ์จากดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มาเป็น เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 อีโค บูสต์ เทอร์โบคู่
- กำลังสูงสุด 397 แรงม้าที่ 5,650 รอบ/นาที
- แรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบ/นาที
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
ระบบช่วงล่างด้านหน้า อิสระปีกนก อลูมิเนียม 2 ช้้น ช็อค แอบซอร์เบอร์ FOX Live Valve และเหล็กกันโคลง ด้านหล้ง คอยล์โอเวอร์ช็อค และ ช็อค แอบซอร์เบอร์ FOX Live Valve เช่นกัน
ซึ่งตัว Live Valve จะคอยตรวจจับแรงกระแทก 500 ครั้ง/วินาที เพื่อปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง
เบรกหน้า/หลัง เป็นดิสค์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน
ขนาดตัวถัง ยาว 5,360 มม. กว้าง 2,028 มม. สูง 1,926 มม. ระยะฐานล้อ 3,270 มม.
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นรถที่มีขนาดใหญ่ ทั้งความยาว และความกว้างที่ถนนบางเส้นนี่แทบจะเต็มช่องทางพอดี แต่ผมลองใช้งานโดยรวมก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งการขับขี่ทั่วไป หรือการเข้าออกซอกซอย
ความสูงของรถ เพิ่มความได้เปรียบในด้านทัศนวิสัย และประเมินเส้นทางด้านหน้าได้เร็ว
ส่วนการขับขี่บนท้องถนนที่รถมากๆ แม้จะมีความกว้าง ความยาวของตัวถัง แต่ด้วยกำลังของเครื่องยนต์ที่สูง และเรียกมาได้เร็ว ทำให้เป็นรถที่ซอกแซกไปในพื้นที่ที่มีช่องว่างในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ ขณะที่ช่วงล่างก็รับมือกับโยกรถแบบเร็วๆ และบ่อยๆ สลับไปมา ซ้าย-ขวา ได้ดี ทั้งหมดนี้ก็ช่วยให้การขับขี่ในเมืองคล่องตัวครับ
เมื่อเดินทางออกต่างจังหวัด แม้ว่าจะหนาแน่นเช่นกัน แต่ช่องว่างระหว่างรถที่เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้ขับได้สนุกมากขึ้น ใช้พลังจากเครื่องยนต์มากขึ้น
แม้ว่าจังหวะเติมคันเร่งแรงๆ จะรับรู้ได้ว่าถึงความหนักของตัวรถ แต่ก็แค่เสี้ยววินาที จากนั้นแรงบิดระดับ 583 นิวตันเมตร ก็ส่งรถให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หรือถ้ามีเส้นทางว่างๆ จะลองกดคันเร่งแช่ไว้ จะรู้ได้ว่าใช้เวลาไม่นาน ตัวเลขความเร็วมันพุ่งขึ้นไปสูงอย่างเร้าใจ
การตอบสนองของเครื่องยนต์ ให้ความรู้สึกดี รู้สึกถึงอารมณ์สปอร์ต แม้แต่ช่วงที่ขับแบบคลานช้าๆ
การขับขี่ในเส้นทางโค้ง ทางเขา ช่วงล่างรับมือกับสมรรถนะเครื่องยนต์ได้ แม้จะรู้สึกได้ว่าการให้ตัวของตัวถังอยู่บ้าง แต่ก็ยังสามารถที่จะเข้า-ออก โค้งได้อย่างรวดเร็วทันใจ
ช่วงล่างที่มีความนุ่มนวล ทำให้นั่งแล้วสบาย โดยเฉพาะเมื่อเจอทางขรุขระ แทบไม่รู้สึกอะไร รวมถึงเส้นสีที่ตีขวางบนถนน หรือเนินลูกระนาดตามตรอกซอกซอย ก็ขอให้มาเถอะ แร็พเตอร์ ไม่ต้องแตะเบรกแม้แต่น้อย
โดยรวมสำหรับการขับขี่บนทางเรียบครั้งนี้ผมชอบเรื่องของทัศวิสัยที่ดี เห็นได้ไกล ประเมินการขับได้เร็ว และคันเร่งที่ส่งคำสั่งไปที่เครื่องยนต์ ก็ตอบสนองการประเมินการขับของเราได้ทันอกทันใจ ทั้งหมดนี้ช่วยให้เป็นรถที่ขับไม่เหนื่อย และยังสนุกกับมันด้วยครับ
ส่วนสิ่งที่หลายคนอยากรู้ คือ อัตราสิ้นเปลือง ผมลองจาการใช้งานจริงคือ ขับจากกรุงเทพฯ ไปราชบุรี แบบขับตามจังหวะร่วมกับรถคันอื่นๆ ไหลๆ ตามกันไป มีจังหวะก็แซงบ้าง ทำได้ 9.2 กม./ลิตร
ส่วนขากลับขับตามแบบคนขี้รำคาญพวกขับช้าแช่ขวา ขับช้าขวางทาง ต้องขับซอกแซก ใช้คันเร่ง ใช้เบรกต่อเนื่อง ตัวเลขลงมาที่ 6.3 กม./ลิตร ซึ่งก็ไม่เลวครับ สำหรับรถคันใหญ่ยักษ์ กับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6
และก็เชื่อว่าลูกค้าที่ควักกระเป๋าจ่ายค่าตัว 1,869,000 บาท คงมองไปที่สมรรถนะ และความสนุกที่จะได้จากแร็พเตอร์คันนี้มากกว่า ครับ