EQE 350 4MATIC SUV Electric Art แรงดี ช่วงล่างได้ EV เดินทางไกลไม่ต้องลุ้น
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) รุ่นแรกด้วยเรือธงอย่าง EQS และปัจจุบันก็ขึ้นสายการประกอบรุ่นนี้ในไทยแล้วเช่นกันที่โรงงานย่านสำโรง หลังจากนั้นเปิดตลาดรุ่นที่ 2 คือ EQB ก่อนจะตามด้วยตระกูล EQE
สำหรับตระกูล EQE ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เสริมตลาดมาพร้อมกัน 2 รูปแบบตัวถังคือ ซาลูน ด้วยตัวแรง คือ Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+ และตัวถัง เอสยูวี คือ EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic ราคา 5.65 ล้านบาท
ก่อนที่ล่าสุด จะเสริมตลาดตัวถัง เอสยูวี อีก 2 รุ่นย่อย เป็นทางเลือกให้ลูกค้า คือ
- EQE 350 4MATIC SUV AMG Line 5.3 ล้านบาท
- EQE 350 4MATIC SUV Electric Art ซึ่งเป็นรถรุ่นเริ่มต้นที่ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วยค่าตัว 4.85 ล้านบาท
ราคานี้ถูกกว่ารุ่นกลาง 4.5 แสนบาท และถูกกว่าตัวท็อป 8 แสนบาท โดยที่รายละเอียดทางเทคนิคเหมือนกันเกือบทั้งหมด ทั้งแบตเตอรี มอเตอร์ไฟฟ้า สมรรถนะ จะต่างกันบ้างกับตัวท็อปคือช่วงล่างตัวท็อปที่เป็นถุงลม หรือ Airmatic และขนาดยางของตัวท็อปใหญ่กว่า คือ 265/40 R21 ส่วนรุ่นกลางกับตัวเริ่มต้นขนาด 255/45 R20 เท่ากัน
ส่วนสิ่งที่ต่างกันชัดเจนคือบรรดาออปชั่นต่างๆ แต่ผมว่าเอาจริงๆ รุ่นเริ่มต้นก็ไม่เลวหรอกครับ ออปชั่นต่างๆ ก็ใส่มาไม่น้อย
ก็เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าเลือกได้ไม่ยาก เพราะมีเรื่องให้เลือกคือออปชั่นเป็นหลัก เพราะทางเทคนิคเกือบจะเหมือนกันทั้งหมด
EQE 350 4MATIC SUV Electric Art ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Electric Art Exterior Package ส่วนออปชั่นหลักไฟหน้าแบบ LED High Performance headlamps
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist แม้ไม่ได้เป็นดิจิทัล ไลท์ ชื่อดังของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ก็สว่างและแม่นยำเพียงพอ
มือเปิดประตูแบบซ่อนเข้าไปในตัวถัง (Seamless door handles) แต่เมื่อเดินเข้าไปในระยะที่ติดต่อกับรีโมทได้ มันจะยื่นออกมาพร้อมให้จับได้ทันที แต่ยังไม่ได้ปลดล็อคนะครับ พร้อมกับแสงไฟโดยรอบมือจับช่วยให้มองเห็นได้ทันทียามค่ำคืน
ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS-FREE ACCESS) กุญแจแบบ KEYLESS-GO
มีบันไดด้านข้างมาให้ ซึ่งแรกๆ ก็คิดว่ารถที่ดูเหมือนไม่ได้สูงมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เอาจริงๆ ก็ใช้แหละครับ สะดวกดี
ภายในห้องโดยสารวัสดุตกแต่งแบบ Laser-cut backlit trim with Mercedes-Benz pattern เบาะนั่ง Comfort Seats บันทึกตำแหน่งได้ 3 ตำแหน่งทั้งเบาะผู้ขับ และผู้โดยสารด้านหน้า
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตหุ้มหนัง หน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง OLED ขนาด 12.8 นิ้ว และหน้าจอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว เลือกรูปแบบหน้าจอได้หลากหลาย รวมถึงการเลือกข้อมูลที่ต้องการให้แสดงว่าจะมีอะไรบ้าง
มีฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือรทั้ง iOS และ Android พร้อมอุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ 5G สำหรับบริการ Mercedes me connect ระบบแผนที่นำทางแบบ Hard-disc navigation พร้อมแผนที่แบบ 3 มิติ
แต่แม้ว่าเราไม่ได้ตั้งจุดหมายปลายทางให้ระบบนำทางไป แต่ระบบก็ยังคงทำงาน ด้วยการตรวจสอบสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ พร้อมกับมีเสียงสุภาพสตรีน่าจะชาวเยอรมัน คอยเตือนอยู่ตลอดในจุดเสี่ยง เช่น เมื่อจะถึงทางแยก ทางร่วม หรือกำลังจะผ่านโรงเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้ก็ยังมี ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย แต่ผมว่าตำแหน่งมันไม่ค่อยถนัดมือเท่าไร เพราะติดที่วางแก้ว ยิ่งวางแก้ววางขวดยิ่งต้องเอื้อมๆ อ้อมๆ มือเข้าไป แต่ถ้าไม่ดื่มอะไร สามารถถอดชุดที่วางแก้วออกได้ง่ายๆ สะดวก ทำให้พื้นที่ตรงนั้นโล่ง วางของอย่างอื่นได้ด้วย และวางหรือหยิบโทรศัพท์ที่แท่นชาร์จไร้สายได้ง่าย
ส่วนช่องเชื่อมต่อ ยูเอสบี ไทป์ ซี มีจุใจ 8 ตำแหน่ง และแน่นอนมีไฟล้อมรอบห้องโดยสาร Ambient light 64 เฉดสี
ยังมีออปชันอื่นๆ อีกหลายอย่าง รวมถึงโหมดการขับขี่อออฟโรด พร้อมหน้าจอแบบออฟโรด ที่จะให้ข้อมูล เช่น ความเอียงของตัวถัง มุมเชิดด้านหน้า และด้านหลัง ทิศทางของล้อ หรือการถ่ายทอดกำลังของล้อต่างๆ เป็นต้น แต่ว่ารอบนี้ผมไม่ได้ลองใช้งานออฟโรด รอไว้ได้มีโอกาสลุยจะเล่าสู่กันฟังอีกทีครับ
ด้านภาพรวมภายในห้องโดยสาร กว้างขวางครับ นั่งได้สบายทุกตำแหน่งมีพื้นที่เหลือๆ เบาะหลังกว้าง พื้นที่ช่วงเข่า พื้นที่วางเท้า หรือพื้นที่เหนือศีรษะกว้างขวาง และถ้าหากต้องการเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสามารถพับเบาะหลังแบบแยกได้ และพับได้ค่อนข้างราบเป็นระนาบเดียวกับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ทำให้สะดวกในการจัดวางของหรือยกขึ้นลง
ทีนี้มาว่ากันถึงการลองใช้งาน EQE 350 4MATIC SUV Electric Art กันบ้างครับ
จุดเด่นที่ผมชอบจากการลองใช้งานเกือบๆ 700 กม. ก็คือ การตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจังหวะออกตัว จังหวะการเปลี่ยนความเร็ว หรือการไล่ความเร็วมีความต่อเนื่อง ไม่สะดุด
โดยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 6.6 วินาที สำหรับรถที่ค่อนข้างใหญ่ถือว่าทำได้เร็ว กระฉับกระเฉง แต่ที่เด่นเพิ่มขึ้นคือ การไต่ความเร็วขึ้นไปมีความคงที่ คือ ไม่แผ่วปลายหรือออกอาการตื้อแต่อย่างใด เป็นแรงม้าแรงบิดที่ทำงานจริงไม่อู้งาน
ช่วยได้เยอะกับการขับขี่ที่ต้องเปลี่ยนความเร็วบ่อยครั้ง เดี๋ยวผ่อน เดี๋ยวเบรก เดี๋ยวเร่ง และเมื่ออยู่ในสภาพจราจรที่หนาตาไปทุกเลน ทำให้รถที่มีความยาว 4,863 มม. กว้าง 1,940 มม. มีความคล่องตัวสูง เปลี่ยนช่องทางไปมาได้ไม่ยาก ซอกแซกไปได้เรื่อยๆ เดินทางได้เร็ว
ซึ่งการขับแบบนี้ ช่วงล่างก็ต้องมีส่วนช่วยมากทีเดียวกับการต้องเปลี่ยนเลนไปมา ซึ่ง EQE SUV ทำได้ดี การยึดเกาะถนน จังหวะเปลี่ยนเลนไปมาอย่างรวดเร็ว เกาะถนนได้อย่างที่ต้องการ พวงมาลัยแม่นยำ
แต่ว่าถ้าขับแบบสปอร์ตมากๆ เปลี่ยนช่องทางไปมา หรือ เมื่อขับผ่านทางโค้งต่างๆ คนขับสนุกแน่ เพราะการตอบสนองของมอเตอร์ ช่วงล่าง และพวงมาลัย ช่วยเติมอารมณ์ด้านนี้ แต่ว่าสำหรับผู้นั่งด้านหลังตัวถังจะมีอาการโยนตัวให้รู้สึกได้ ดังนั้นหากขับแบบนี้ยาวๆ อาจโดนค้อนเอาได้
แต่ถ้าเป็นการขัับทั่วไป จะทางตรง ทางโค้งทางเขา ด้วยความเร็วแบบที่ทั่วไปขับกัน หรือเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่มีปัญหาครับ ส่วนถ้าไปไหนมาไหนคนเดียว จะอยากสนุกแค่ไหนก็เชิญได้เลยครับ
ทั้งนี้การเซ็ทช่วงล่าง EQE เน้นให้ความสบายกับผู้โดยสาร นั่งนุุ่มสบาย ผ่านทางขรุขระ ก็เก็บแรงสั่นสะเทือนได้ดี ขึ้นเนินหลังเต่าหรือเนินลูกระนาดที่หลายเส้นทางก็สร้างกันพร่ำเพรื่อ ได้นุ่มสบายเช่นกัน เรียกว่าบางที่ผู้ขับมองไม่เห็น เพราะสีมันเหมือนๆไปกับผิวถนน ผู้โดยสารที่นั่งหลับอยู่ก็ยังหลับได้ต่อไปเช่นเดิม บวกกับความเงียบในห้องโดยสาร ยิ่งฝันดีเข้าไปใหญ่
สำหรับโหมดการขับขี่มีให้เลือก ทั้ง eco, normal, sport และ individual ซึ่งหลักๆ ผมใช้ individual โดยเลือกปรับพวงมาลัยแบบ sport ปรับการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ normal ซึ่งก็เพียงพอแล้ว ตอบสนองได้ดี ขับได้สนุก และก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า sport
ส่วนโหมด eco ก็จะมีการตอบสนองที่ช้าลงชัดเจน เหมาะกับช่วงการขี่ในเมืองที่ต้องการเซฟพลังงานในแบตเตอรีมากกว่า
ส่วนเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยได้ที่ 19 kWh/100 กม. ดังนั้นถ้าคิดคร่าวๆ ก็จะทำได้ประมาณ 468 กม. ซึ่งเทียบกับรูปแบบการขับของผมเอง โอเคเลยครับ และเป็นระยะทางที่คิดว่าใช้งานได้สะดวก ถ้าเดินทางไม่ไกลนัก ไปสุพรรณบุรี ไปฉะเชิงเทรา ก็ขับไปนั่นมานี่อย่างสบายใจ เหลือแบตเตอรีกลับกรุงเทพฯ อีกเพียบ
ส่วนถ้าจะเดินทางไกลๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เช่นจะเดินทางไปแอ่วเชียงใหม่ ก็แวะชาร์จกลางทางพร้อมทานข้าวสักอิ่ม แค่นี้ก็เดินทางต่อได้สบายๆ ครับ