"MINI JCW Hatch" แรง ปราดเปรียว แอบเฮี้ยวเล็กๆ
เครื่องยนต์แรงที่สุด เท่าที่มินิ เคยผลิตออกมา
มินิ เป็นรถยนต์ในฝันของใครหลายๆ คน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเป็นรถที่มีบุคลิกเฉพาะตัว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้ว่า บีเอ็มดับเบิลยู จะเข้ามาบริหารงานหลังจากซื้อกิจการมายาวนาน และสร้างการเปลี่ยนแปลงไปพอควร จนช่วงแรกๆ แฟนมินิยุคดั้งเดิมถึงกับบอกว่าไม่ใช่มินิก็ตาม แต่ผมว่าบีเอ็มดับเบิลยู นั้นใช้วิธีการคลี่คลาย ต่อยอด ให้เข้ากับยุคสมัย และธุรกิจ โดยคงกลิ่นของมินิเดิมเอาไว้ โดยเฉพาะอารมณ์ในการขับขี่ที่มีความดิบ แม้ว่าจะลดลง และเพิ่มเติมเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปมากขึ้นก็ตาม
และตั้งแต่เข้ามาบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู เพิ่มความหลากหลายให้กับมินิ มีหลากหลายตัวถังที่ผลิตออกมา ทั้ง แฮทช์ 3 ประตู แฮทช์ 5 ประตู คลับแมน เพซแมน หรือว่า คันทรีแมน
นอกจากนี้ก็ยังมีรุ่นเสริมสปอร์ต เติมความแรงให้เลือก คือ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ หรือ JCW ซึ่งก็เป็นรุ่นพิเศษที่มีมาแต่อดีตเช่นกัน เป็นการแต่งรุ่นพิเศษ เพื่อเข้าสู่การแข่งขันรายการแรลลี มอนติ คาร์โล โดยฝีมือนายจอห์น คูเปอร์ นั่นเอง
แต่สำหรับ มินิ เจซีดับเบิลยู ในปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยูบอกว่า เป็นมินิที่แรงที่สุดเท่าที่เคยผลิตออกมา และมันก็เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าคนไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งในรูปแบบตัวถัง แฮทช์ 3 ประตู แฮทช์ 5 ประตู คลับแมน คันทรีแมน และคอนเวอร์ติเบิล
ส่วนคันที่อยู่กับผมวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นตัวจี๊ดที่สุด แม้ว่ากำลังของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร จะเท่ากับตัวอื่นใน เจซีดับเบิลยู คือ 231 แรงม้าที่ 5,200-6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 1,250-4,800 รอบ/นาที แต่ว่าภาพรวมต่างๆ ทั้งน้ำหนัก รูปทรง ทำให้แฮทช์ 3 ประตู คันนี้ มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ที่เร็วที่สุดในบรรดาพี่น้อง คือ 6.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 246 กม./ชม.
เป็นรถที่สร้างความเร้าใจ ตั้งแต่กดปุ่มสตาร์ท ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามผ่านท่อไอเสียที่ออกแบบใหม่ไปออกปลายท่อไอเสียคู่ ติดตั้งคู่กันบริเวณกลางกันชนหลัง เสียงทุ้มๆ ดุๆ ช่วยให้อยากจะห้อไปกับม้า 231 ตัวเหลือเกิน
มันเป็นรถที่มีความปราดเปรียวมาก กำลังเครื่องยนต์ที่สูง กระชากให้รถขนาดกะทัดรัด ออกตัวได้อย่างรวดเร็ว และหากกดคันเร่งหนักๆ รู้สึกได้ถึงอาการดิ้นของรถเล็กน้อย และการใช้งานจริง บนท้องถนนจริง การเรียกกำลังมาได้ทุกย่านความเร็ว ไม่ว่าจะขับช้าๆ กลางๆ หรือ ที่ความเร็วสูงก็ตาม ยิ่งทำให้มันเป็นรถที่คล่องตัวมากในการใช้งาน และมั่นใจได้ว่าการแซง การเข้าออกทางร่วม จะพารถพ้นจากจุดเสี่ยง จุดอันตรายได้ไม่ยาก
ส่วนความเร็วสูงๆ ผมเคยลองในสนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ก่อนหน้านี้ จากหลังโค้ง 1 ไปถึงโค้ง 3 ได้ 194 กม./ชม. แต่ต้องบอกว่าเป็นการขับตามเป็นขบวนย่อมๆ 4-5 คัน ซึ่งหากมีอิสระจริงๆ น่าจะทะลุ 200 ไปไม่ยาก แต่อย่างน้อยก็จับอารมณ์ได้ว่า กำลังของของรถมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด
และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้คือ การเบรกหนักๆ เพื่่อจะเข้าโค้ง 3 ซึ่งเป็นโค้งหักศอก รถมีการทรงตัวที่ดีมาก แม้จะมีอาการดิ้นให้รู้สึก แต่ก็เล็กน้อยและสั้นๆ เท่านั้น
กลับมาที่การขับขี่บนท้องถนนจริง ซึ่งเส้นทางมีความหลากหลาย พื้นผิวก็เช่นกัน เจซีดับเบิลยู แฮทช์ ถ่ายทอดสภาพของถนนมาให้รับรู้ได้เต็มที่ ไม่ว่าทางเรียบ ทางขรุขระ หรือทางเป็นคลื่นเป็นร่อง ซึ่งหากอยู่ในย่านความเร็วสูง หากทางเป็นร่อง เป็นคลื่นๆ ตามแนวยาว ให้ความรู้สึกเหมือนรถจะไปตามนั้น แต่ก็ไม่ต้องตกใจอะไร แค่ประคองพวงมาลัยหลวมๆ มันก็อยู่ในการควบคุมได้ไม่ยาก
และโดยรวมๆ แล้วช่วงล่างไว้ใจได้ ทั้งทางตรง หรือว่าทางโค้งที่แม่นยำ และเมื่อรวมกับพวงมาลัยแม่นยำ น้ำหนักดี ไม่มีระยะฟรีให้ แค่ขยับเล็กน้อย รถก็พร้อมไปตามทางที่เราต้องการ มันเติมเต็มอารมณ์แบบโก-คาร์ท ได้น่าสนุกทีเดียว
ระบบขับเคลื่อนมีให้เลือก 3 แบบ คือ Green,Mid และ Sport ซึ่งการเลือก Mid ก็เพียงพอ แต่ถ้าอยากได้ความกระชับเพิ่มขึ้น เข้าโค้งแบบท้าทายแรง จี ได้สนุกขึ้น ก็เลือก Sport ไม่ผิดหวัง
แต่ถ้ารถหนาแน่น ติดๆ โดยส่วนตัวผมชอบที่จะใช้ Green เพราะมันลดความร้อนแรงของเครื่องยนต์ ทำให้การขับขี่ที่ต้องเบรกๆ หยุดๆ ออกตัวบ่อยๆ นุ่มนวลขึ้น และยังได้การประหยัดเชื้อเพลิง และลดการปล่อยไอเสียเป็นของแถมอีกด้วยครับ
นอกจากเครื่องยนต์ที่แรงขึ้นกว่ามินิ แล้ว มินิ เจซีดับเบิลยู ยังปรับเปลี่ยนด้านอื่นๆ เช่น ระบบเบรก ช่วงล่าง ที่ต้องรองรับกำลังของเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น การขับขี่ที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ในด้านรูปร่างหน้าตา หรืออุปกรณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เช่น คันที่อยู่กับผม ซึ่งเป็นสีเขียว ที่เรียกว่า Rebel Green หลังคา และกระจกมองข้างสีแดงเผ็ด Chili Red จะไม่มีในมินิ รุ่นธรรมดา
สีสันสวยงามทีเดียว เป็นการจับคู่สีตรงข้ามกัน (true contrast) เข้ามาใช้ได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ยังสอดแทรกสีแดงเพื่อให้รถดูกลมกลืนกัน เช่น เส้นเล็กๆ ขนาบแถบสีดำบนฝากระโปรงหน้า รวมไปถึงด้ายสีแดงที่อยู่ภายใน ทั้งเบาะ หรือว่าพวงมาลัย
ด้านนอกยังมีชุดแต่งแอโร่ ทั้งด้านหน้า ด้านท้าย สปอยเลอร์หลัง รวมถึงท่อไอเสีย และล้อทูโทนขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมกับยางรันแฟลตขนาด 205/40 R18
ภายในห้องโดยสาร เบาะนัั่งเป็นแบบโอบกระชับลำตัว เหมาะกับรถแรงๆ แบบนี้ เพราะตัวเราไม่เลื่อนไหลไปไหนแน่ ช่วยให้ควบคุมรถได้ดี และแม่นยำ แต่ผมว่าปีกของมันยาวไปสักหน่อย รู้สึกเกะกะข้อศอกได้ในบางจังหวะ แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างปัญหาอะไร และรวมๆ แล้วนั่งสบายครับ ขับไปหลายร้อย กม. ก็ไม่รู้สึกเมื่อยล้าแต่อย่างใด
ส่วนเบาะนั่งแถวหลัง ก็ออกแบบมาให้ 2 คน นั่งได้สบายๆ เช่นกัน
ทัศนวิสัยของรถคันเล็กๆ ชัดเจนทุกด้าน ยกเว้นกระจกมองหลังที่ออกแบบให้เข้ากับรูปทรงรถโดยรวม ดูแคบๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาต่อการขับขี่เช่นกันครับ
เสียงเข้ามาให้ห้องโดยสารพอควร โดยเฉพาะเสียงจากยางรันแฟลท ที่มีแก้มยางแข็งเพื่อความคงทน แต่เรื่องนี้เครื่องเสียงฮาร์มันน์ การ์ดอน ที่ซ่อนลำโพงไว้ในรถคันเล็กๆ ถึง 12 ดอก ช่วยได้ครับ
ระบบเสียงดีทีเดียว
การควบคุมรถต่างๆ ปุ่มต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ฝังตัวอยู่ในช่วงวงกลม ตรงกลางคอนโซลหน้า และด้านบนของวงกลมนี้ มินิ ก็มีลูกเล่น ทำเป็นลวดลายธงตราหมากรุกให้ย้อนนึกถึงวันที่มินิวิ่งผ่านธงนี้ไป
ความสะดวกในการใช้งาน ยังรวมถึงระบบ เฮดอัพ ดิสเพลย์ แสดงข้อมูลการขับขี่ ระบบนำทาง บนแผ่นจอเล็กๆ ด้านหลังพวงมาลัย ทำให้ไม่ต้องละสายตาจากถนนเพื่อดูข้อมูลการขับขี่ รวมถึงปุ่มไอไดรฟ์ และระบบทัชแพดสำหรับการสั่งการด้วยการใช้นิ้วเขียนเป็นตัวหนังสือครับ