รถขับประทับใจ 'ปี 62'
ปีเก่ากำลังจะผ่านไป ซึ่งรอบปีนี้ มีรถยนต์รุ่นต่างๆผ่านเข้ามาในมือผมมากมาย ทั้งการขับขี่ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทุกคันล้วนมีสิ่งที่น่าสนใจ และหลายคันที่ขับแล้วชื่นชอบตั้งแต่คันละไม่กี่แสนบาทไปจนถึงคันละหลายสิบล้าน
ถ้าให้ผมเลือกรถยอดเยี่ยมแห่งปี คงจะเป็นเรื่องยาก แต่เอาเป็นว่าผมหยิบยกบางรุ่นที่ขับแล้วประทับใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่าที่เนื้อที่เอื้ออำนวย
เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ขนรถตระกูล "เอเอ็มจี" ไปร่วมกิจกรรม “เอเอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง อะคาเดมี” ครบทั้งพอร์ตโฟลิโอรวม 14 รุ่น มีทั้งการขับเป็นสเตชั่นคือ Drag Race, Brake & Lane Change, Cornering Exercise, Car Control, Lead & Follow และ Auto-X Practice & CompetitionBrake & Lane Change
และที่ช่วยรีดดีเอ็นเอของรถออกมาคือ การขับเต็มรอบสนามหลายรุ่น ทำให้รับรู้ถึงอัตราเร่ง การทำความเร็วในแทรคที่มากกว่า 200 กม./ชม. ความคมในการเข้าออกโค้ง การทรงตัว
*****
พูดถึงรถตระกูลแรงก็ต้องพูดถึงตัวนี้เช่นกัน "บีเอ็มดับเบิลยู “เอ็ม5" รถที่ผมเรียกว่าแรงซ่อนรูป เพราะรถค่าตัว 13.299 ล้านบาท ไม่ได้ดูแตกต่างจาก ซีรีส์ 5 ทั่วไปมากนัก ยกเว้นเมื่อคุณกดเท้าไปบนคันเร่งของมัน เป็นการกระตุ้นเครื่องยนต์ เบนซิน 8 สูบ ทวินเพาเวอร์ เทอร์โบ 4,395 ซีซี 600 แรงม้าที่ 5,600-6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,800-5,600 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.4 วินาที โจนทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่จุดเด่นไม่ใช่ความแรงที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่อยู่ที่ความลงตัวโดยรวมของรถ ทั้งช่วงล่าง การควบคุม ความสนุกในการขับขี่ และที่สำคัญความสบายในการขับขี่ เพราะแม้จะใช้ความเร็ว และมีสายฝน แต่ตลอดเส้นทางก็แค่กุมพวงมาลัยเบาๆ แบบผ่อนคลาย เจอทางตรงก็ตรงไป เจอทางโค้งก็เข้าและออกได้อย่างเนียนๆ
*****
รถออกแนวสปอร์ตอีกคัน คงไม่สามารถมองข้ามคันนี้ "มินิ เจซีดับเบิลยู แฮทช์" เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร231 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรสร้างความเร้าใจตั้งแต่กดปุ่มสตาร์ท ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามผ่านท่อไอเสีย และเมื่อได้ขับก็พบว่าเป็นรถที่ปราดเปรียวกำลังเครื่องยนต์กระชากให้รถขนาดกะทัดรัด ออกตัวได้อย่างรวดเร็ว และหากกดคันเร่งหนักๆ รู้สึกได้ถึงอาการดิ้นของรถเล็กน้อยการใช้งานจริง บนท้องถนนจริง การเรียกกำลังมาได้ทุกย่านความเร็ว ไม่ว่าจะขับช้าๆ กลางๆ หรือ ที่ความเร็วสูงก็ตาม ยิ่งทำให้มันเป็นรถที่คล่องตัวมากอย่างน่าประทับใจ
*****
ตัดมาที่รถคันเล็กๆ กันบ้าง แต่ว่าที่สุดมันเป็นเด็กตัวเล็กใจใหญ่ นั่นคือ "อาวดี้ เอ1" เจ้าเด็กซนบนท้องถนน ซึ่งเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง แบบฉีดตรง เทอร์โบชาร์จ 1,498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 222 กม./ชม. แม้จะไม่ถึงขึ้นจี๊ดจ๊าดนักกับอัตราเร่งช่วงกลาง แต่การออกตัว และอัตราเร่งที่ความเร็วสูงนี่มาอย่างทันอกทันใจ เมื่อรวมกับความคล่องตัวของรถขนาดกะทัดรัด และยังมีโอเวอร์แฮงก์ที่สั้น ศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ก็ยิ่งทำให้เอ1 ดูเหมือนเด็กซุกซนบนท้องถนน ที่วิ่งไปทั่วอย่างน่ารักน่าชัง
*****
“มาสด้า 3” รถที่เพิ่งคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2562 จากสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย มีจุดเด่นที่ช่วงล่าง แม้ครั้งนี้มาสด้าจะมาแบบฝืนความรู้สึกผู้บริโภค คือ ช่วงล่างด้านหลังที่หันมาใช้ ทอร์ชั่น บีม แต่เท่าที่ลองขับในเส้นทางภูเก็ต-พังงา-ภูเก็ต ผ่านเส้นทางที่สวยงามและหลากหลายรูปแบบ ทางเขาคดโค้ง ก็บพว่ารถนิ่งมาก การเกาะถนนยังเป็นจุดเด่นที่คัญ ความมั่นคงของตัวรถทำให้รู้สึกได้ว่าเรากับรถไปพร้อมๆกันในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเพราะรถถ่ายทอดอารมณ์ สถานการณ์มาให้ผู้ขับขี่ได้ล่วงรู้ในเวลาเดียวกันทำให้ง่ายต่อการประเมินสถานการณ์หรือว่าการแก้สถานการณ์หากรถเสียการทรงตัว
*****
"มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต" เปิดตัวมาสักพัก แต่คันนี้ที่ลองเพิ่งผ่านการไมเนอร์เชนจ์มาไม่นาน จุดเด่นคือเป็นรถพีพีวี ที่ไปได้ดีกับทางเรียบ ขับขี่ทางตรงนิ่ง จัดการกับทางโค้งได้ดีเกินคาด แม้จะเป็นรถที่มีตัวถังสูงก็ตาม นอกจากนี้ยังมีระบบขับเคลื่อนที่เหนือกว่าคู่แข่งคือ 4WD High-Range ดังนั้นเมื่อเห็นว่าทางอาจจะลื่น หรือมีฝนตกก็สามารถหมุนปุ่มควบคุมไปตำแหน่งนั้นได้เลย
ส่วนการขับขี่นอกถนน ก็ทำได้ดี ลุยได้พอสมควร และความนุ่มนวลที่น่าพอใจ
*****
“เลกซัส ยูเอ็กซ์” เป็นรถที่สร้างความประทับใจอย่างรวดเร็ว สวย ลงตัว และกลมกลืนระหว่างสปอร์ตกับความหรูหรา ที่สำคัญมีความคล่องตัวสูงสำหรับขับขี่ในเมือง และทรงตัวดีเมื่อเดินทางไกล ช่วงล่างดี พวงมาลัยน้ำหนักดีและแม่นยำ สวย ลงตัว และกลมกลืนระหว่างสปอร์ตกับความหรูหรา ที่สำคัญมีความคล่องตัวสูงสำหรับขับขี่ในเมือง และทรงตัวดีเมื่อเดินทางไกล ช่วงล่างดี พวงมาลัยน้ำหนักดีและแม่นยำ
*****
รถแนวครอสโอเวอร์เหมือนกัน แต่เป็นรถในตลาดเริ่มต้นอย่าง “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์” เป็นอีกคันที่ประทับใจ ตั้งแต่ความเอนกประสงค์ในการใช้งาน แน่นอนมันไม่ได้กว้างมากมายสำหรับการนั่ง 7 คน แต่ก็นั่งได้ ใช้งานได้ และยังเป็นรถที่เก็บเสียงในห้องโดยสารได้ดี โดยเฉพาะการขับขี่ในระดับความเร็วไม่เกินการเดินทางทั่วไป เช่น 120 กม./ชม.ถือว่าเงียบมากสำหรับรถในตลาดนี้ จะเริ่มได้ยินชัดเจนมากขึ้นก็ที่ย่านความเร็ว 140 กม./ชม.
ขณะที่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ก็รองรับการใช้งานได้เพียงพอ ไม่ได้จี๊ดจ๊าดนัก แต่ก็เดินทางได้เนียนๆ บางช่วงลองกดคันเร่งแช่สักพักก็ขึ้นระดับ 160 ได้ แถมทำให้ได้รับรู้ถึงความนิ่งของช่วงล่าง การควบคุมพวงมาลัยแค่จับหลวมๆ ผ่อนคลาย
เป็นรถอีกคันที่ขับแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยในการควบคุม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในความคิดของผมในการตัดสินรถแต่ละคัน
*****
ส่วนเอสยูวี รุ่นใหญ่ อย่าง "เบนท์ลีย์ เบนเทย์กา" ราคา 21.5 ล้านบาท น้ำหนัก 2,388 กก. ขับได้สนุกอย่างไม่น่าเชื่อ เครื่องยนต์เบนซิน V8 542 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ที่ 1,960 รอบ/นาที ออกตัวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม.ชม. ในเวลาแค่ 4.5 วินาทีส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 290 กม./ชม.
ผมชอบเมื่อขับมันออกไปบนท้องถนนที่มีปัญหากับการจราจรที่สะเปะสะปะ ขับรถไม่เป็นระเบียบ แรงบิดเข้ามาช่วยอีกครั้ง กับการต้องซอกแซกเปลี่ยนเลนไปมา ซ้ายที ขวาที มันช่วยให้รถที่มีขนาดตัวถังใหญ่คล่องตัวในการขับขี่ และกลมกลืนไปกับรถคันอื่น และสภาพจราจรเป็นอย่างดี และอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบคือน้ำหนักของพวงมาลัยที่แปรผันตามความเร็วอย่างชัดเจน ที่ความเร็วสูงๆนี่หนักขึ้นถนัดใจ ช่วงล่างจัดการได้ดี ทำให้ที่ความเร็วสูงๆ ขึ้นระดับเลข 2 รถนิ่งมาก เช่นเดียวกับการขับขี่ในทางโค้ง แม้รถสูง น้ำหนักมาก แต่นิ่งจริงๆ ไม่มีอาการอะไรให้ต้องแอบเสียว
*****
นอกจากการขับในประเทศแล้ว ปีนี้ผมเดินทางไปทดสอบรถยนต์ต่างประเทศหลายรุ่น และเช่นกัน แต่ละรุ่นมีเรื่องที่ควรจะพูดถึงมากมาย วันนี้ผมเลือกการขับขี่ที่มีความแตกต่างมาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มที่ "ปอร์เช่ ไทคานน์ เทอร์โบ" สาเหตุที่เลือกเพราะนี่เป็นการลองขับรถพลังงานไฟฟ้า 100% หรือ อีวี เป็นรถเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของ ปอร์เช่ และมีแผนที่จะนำเข้ามาทำตลาดในบ้านเราปีหน้าด้วยเช่นกัน
ผมขับไทคานน์ จากอินส์บรูก ออสเตรีย ไปมอนด์ซูน ออสเตรียและไปจบที่มิวนิค ระยะทางรวมๆ เกือบ 700 กม. ซึ่งรถที่ติดตั้งแบตเตอรี 93.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ด้านหน้าและหลัง เรียกว่าเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่เน้นส่งกำลังไปล้อหลังมากกว่า ล้อหน้าเป็นตัวเสริม
รุ่นเทอร์โบให้กำลังสูงสุด 680 แรงม้า แรงบิด 850 นิวตันเมตร แต่ยังมีรุ่นเทอร์โบ เอส ให้เลือก โดยกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 761 แรงม้า และแรงบิดที่ทะลุไปที่ 1,050 นิวตันเมตร
พลังงานไฟฟ้าไม่ทำให้ผิดหวัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.2 วินาที และ 0-200 กม./ชม. แค่ 10.6 วินาที ทำให้มันเป็นรถที่ให้อารมณ์สปอร์ตในการขับเคลื่อนเต็มตัว กระฉับกระเฉงตื่นตัวตลอดเวลา การตอบสนองที่มาเร็วกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์การกดคันเร่งแค่เบาๆ มันกระชากไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เรียกอัตราเร่งได้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ในช่วงไต่ขึ้นเนินก็ตาม นี่เป็นจุดเด่นที่เหนือกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์จำนวนมาก
จุดศูนย์ถ่วงต่ำและการมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำมากคือ 0.22 ช่วยให้รถมีความนิ่งในการขับขี่แม้จะใช้ความเร็วทะลุ 200 กม./ชม. และคล่องตัวสูงในเส้นทางที่คดโค้งไปมา รถนิ่งไม่มีออาการโอเวอร์ หรืออันเดอร์สเตียร์ ขณะที่แรงบิดที่สูงก็ช่วยให้ออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็ว ส่วนพวงมาลัยเป็นอีกสิ่งที่ผมชอบ เพราะมีความแม่นยำสูง และให้อารมณ์สปอร์ตชัดเจน มีน้ำหนักพอควร ซึ่งก็เป็นสิ่่งที่ผมชอบอีกนั่นแหละ
*****
อีกคันหนึ่งที่ชื่นชอบกับการขับขี่ในต่างประเทศคือ "ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์" แม้ว่าจะเคยขับในเมืองไทยไปแล้วที่โคราช และที่พังงา แต่การเดินทางไปลองขับที่ อัปปิงตัน แอฟริกาใต้ ช่วยรีดอารมณ์ของปิกอัพโดดได้คันนี้ออกมาได้น่าตื่นใจ
เพราะเส้นทางที่ใช้ไม่ได้สร้างขึ้น แต่เป็นถนนจริง ที่ชาวบ้านใช้จริง และที่สำคัญเป็นเส้นทางที่เราไม่เคยผ่านมาก่อน ไม่มีรอบดูเส้นทางก่อน มีแต่รอบจริง วัดสมรรถนะของรถ วัดใจ วัดทักษะคนขับกันไปเลย
ถนนเล็กๆ พื้นผิวที่เป็นหินลอย เต็มไปเนินตลอดทางทำให้ แร็พเตอร์ ได้โดดจริง เป็นการโดดบนถนนจริง เมื่อขึ้นเนินไปด้วยความเร็ว ให้อารมณ์เหมือนกับกำลังอยู่ในช่วงเอสเอสพิเศษของการแข่งขันแรลลี
แต่จุดที่ผมชอบมากกว่าคือ หลังเนินบางแห่งที่ไม่เห็นล่วงหน้า มันเป็นทางโค้ง ดังนั้นเมื่อรถโดดลงมาจากเนินและเพิ่งจะเห็นเส้นทาง ก็ต้องใช้วิธีการควบคุมพวงมาลัยเป็นหลัก เข้าไลน์ให้ถูกต้อง โดยใช้เบรกน้อยที่สุดบนพื้นผิวลื่นๆ แบบนี้ ซึ่งรถตอบสนองได้ดี ผ่านเส้นทางจนถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับอารมณ์สนุกที่สูบฉีดเต็มที่
เป็นอีกครั้งที่ได้ขับแร็พเตอร์ แล้วรู้สึกประทับใจ และไม่แปลกใจว่าทำไมในบ้านเรา หลายคนจึงยอมควักเงิน 1.69 ล้านบาท เพื่อเป็นเจ้าของปิกอัพคันนี้ครับ
นั่นก็คือส่วนหนึ่ง ย้ำว่าส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ สำหรับรถที่นำมาฝากกันในวันสิ้นปี 2562 และขอถือโอกาสนี้ อาราธนา พระรัตนตรัย ดลบันดาลให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขในปีใหม่ 2563 และขอให้ใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัยตลอดไป
สวัสดีปีใหม่ 2563 ครับ