เบนซ์ เอส-คลาส นั่ง นอน แสนสบาย แต่เสียดายถ้าไม่ขับเอง
เป็นเรือธงที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากทีเดียวสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ใหม่ ซึ่งคราวนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากโฉมเดิมมากทีเดียว โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ออปชั่น รวมถึงมาตรการขับขี่
ในไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวเปิดราคา เอส-คลาส ใหม่ กันไปเรียบร้อยแล้ว โดยมี 2 รุ่นย่อย เครื่องยนต์เดียว คือ S 350 d Exclusive ราคา 6.69 ล้านบาท และ S 350 d AMG Premium ราคา 7.19 ล้านบาท
ซึ่งการทำตลาดครั้งนี้แตกต่างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาที่มักจะเริ่มต้นด้วยรุ่นนำเข้า (CBU) สักระยะหนึ่ง แล้วจึงตามด้วยรุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ซึ่งมีราคาถูกลง เพราะไม่มีภาระภาษีนำเข้า
แต่คราวนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกที่จะเปิดตัวซีเคดีเลยทีเดียวให้จบๆ ไป
ส่วนเครื่องยนต์ ในอนาคตจะมีตัวอื่นอีกหรือไม่ แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ก็เชื่อว่าอีกไม่นาน คงได้เห็นเวอร์ชั่น ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ซึ่งที่ต่างประเทศก็เปิดตัวทีหลังรุ่นดีเซล
อย่าลืมว่าภาพของค่ายตราดาวกับปลั๊ก-อิน ไฮบริด ในไทย นั้นเป็นของคู่กัน จากการบุกเบิกและติดตลาดมายาวนาน
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้เป็นเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,925 ซีซี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ 9G-TRONIC พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
เรือธงคันนี้ ใส่อะไรเข้ามามากมาย เริ่มจากตั้งแต่ก่อนเข้ารถ จะเห็นว่ามือจับเปิดประตูนั้นเป็นแบบราบเรียบไปกับตัวถัง (Seamless door handles) สวยงามไม่เกะกะทั้งทางกาย และทางสายตา
โดยเพียงแค่พกกุญแจติดตัวไว้ และเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้รถในระยะประมาณ 2 เมตร มือจับที่ว่านี้จึงจะยื่นออกมา เพื่อให้จับเปิดประตู แต่ถ้าบังเอิญยังไม่เข้ารถ มันก็จะหุบกลับเข้าไปเช่นเดิม ทีนี้เมื่อจะเปิดก็แค่เอามือแตะๆ มันเท่านั้น ก็จะยื่นออกมาอีกครั้ง
เข้าไปแล้วก็แค่งับประตูเบาๆ เพราะมีระบบ soft close ที่จะปิดให้แน่นโดยอัตโนมัติ
และที่ด้านหน้าของรถ ติดตั้งเรดาร์ และกล้องที่มีอยู่รอบคันรวม 7 ตัว เพื่อรองรับการทำงานของระบบต่างๆ ทั้งเพื่อความปลอดภัย และความสะดวกสบาย เช่น รักษาตัวรถให้อยู่ในช่องทาง รักษาช่องกับรถคันหน้าห่าง เตือนความเสี่ยงที่จะเกิดการชน พร้อมระบบช่วยเบรก เตือนสิ่งกีดขวางรอบคัน หรือว่าระบบช่วยจอดอัตโนมัติ เป็นต้น
ส่วนความปลอดภัยเชิงปกป้อง ติดตั้งถุงลมถึง 15 ตำแหน่ง และเป็นครั้งแรกของโลก ที่มีถุงลมด้านหน้าสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง ด้วยการฝังถุงลมไว้ในหลังเบาะคู่หน้านั่นเอง
ภายในห้องโดยสาร หรูหรา และมีลูกเล่นมากมาย มีจอต่างๆ รวม 5 จอ คือ มอนิเตอร์กลางคอนโซลหน้าขนาดใหญ่ 12.8 นิ้วแบบ OLED โดยนำทุกปุ่มควบคุมตรงคอนโซลส่วนกลางให้เข้ามาอยู่บนหน้าจอนี้ทั้งหมด เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งาน
ส่วนจอแสดงข้อมูลการขับขี่สำหรับผู้ขับ เป็นจอความละเอียดสูงแบบ Digital Instrument clusters ขนาด 12.3 นิ้ว เห็นข้อมูลได้ชัดเจน และเปลี่ยนการแสดงข้อมูลต่างๆ ตามที่ต้องการได้ง่ายด้วยทัชแพด
จอภาพอีก 2 จอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่สามารถควบคุมแยกจากกันได้ พร้อมหูฟังบลูทูธแบบตัดเสียงรบกวนมาให้อีก 2 ตัว
และยังมีจอควบคุมระบบต่างๆ อยู่บริเวณที่พักแขนของเบาะด้านหลัง ซึ่งสามารถถอดออกมาได้เพื่อความสะดวกในการใช้งาน และสามารถควบคุมทุกอย่างของรถได้ รวมถึงดูข้อมูลการขับขี่ได้อีกด้วย
ระบบไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารมีให้เลือก 64 เฉดสี ระบบปรับอากาศพร้อม AIR BALANCE package ที่ทำให้ห้องโดยสารสะอาดยิ่งขึ้น เครื่องเสียงจากลำโพง Burmester 3D surround sound system ที่ให้คุณภาพเสียงที่มีมิติธรรมชาติ ฟังเพลิน
เบาะหลังมีระบบนวด ที่ยกระดับขึ้นไปอีก มีโปรแกรมนวดให้เลือก 6 โปรแกรม รวมถึงเลือกได้ว่าอยากได้นวดแบบประคบเย็นหรือประคบร้อน
เบาะหลังด้านซ้ายปรับแบบเอนนอนได้ และที่น่าสนใจคือเบาะนั่งด้านหน้าซ้าย ที่จะถูกดันไปข้างหน้าเพื่อเปิดให้เบาะหลังซ้ายปรับนอน ออกแบบมาได้ดี เพราะไม่บดบังกระจกด้านซ้ายสำหรับผู้ขับขี่
เอส-คลาสมาพร้อม MBUX7 เจเนอเรชั่นใหม่ รองรับ 27 ภาษา รวมถึงภาษาไทยเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ที่มีแพคเกจสำหรับลูกค้าที่ซื้อจากตัวแทนจำหน่าายเท่านั้นใช้งานฟรี 3 ปี
ในรถติดตั้งฮาร์ดดิสค์ขนาดความจุสะใจ 320 กิกะไบต์
มีระบบสแกนนิ้วมือ เพิ่มความสะดวกเพราะระบบจะจดจำข้อมูลต่างๆ ของคนนั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเบาะนั่ง กระจก อุณหภูมิ เป็นต้น
ในรถยังมีกล้อง 2 ตัว ตรวจจับลักษณะท่าทางของผู้ขับ เช่นเมื่อจะปรับตำแหน่งกระจกมองข้าง ก็ไม่ต้องหาปุ่มกด L หรือ R เพียงแต่หันหน้าไปมองกระจกด้านไหน ระบบก็จะสั่งปรับกระจกด้านนั้น
หรือเมื่อขับๆ อยู่ ตรวจพบอาการเหนื่อยล้า ก็จะเตือน พร้อมหาสถานที่พักให้ หรือเมื่อหลับใน หมดสติ ระบบจะสั่งการให้ระบบขับขีี่ฉุกเฉินทำงาน ค่อยๆ พารถชิดขอบถนนด้านซ้าย ก่อนจอดสนิท พร้อมกับระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉินทำงาน
ระบบ Gesture Control 2.0 จะตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ ศีรษะ และร่างกาย เพื่อแปลความต้องการของผู้ใช้ นำไปสู่การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ภายในรถยนต์ เช่น หากยื่นมือขึ้นหรือลงทางกระจกมองหลัง ไฟอ่านหนังสือจะติดขึ้นหรือดับลงเองโดยอัตโนมัติ
นี่คือส่วนหนึ่งที่มีอยู่ใน เอส-คลาสใหม่ครับ
ว่ากันว่า เจ้าของเอส-คลาส ส่วนใหญ่ไม่ได้ขับเอง ที่อยู่ประจำคือเบาะหลัง โดยเฉพาะด้านซ้าย ซึ่งการไปลองของผมครั้งนี้ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็มีตัวเลือกว่าจะขับเอง หรือว่าจะขอผู้ขับขี่มาให้สักคน
แต่การจะรู้จักรถให้มาก คงต้องลองขับเองถึงจะรู้ครับ
แม้จะมีเวลาไม่มากนักไม่ถึงครึ่งวันดี จากจุดปล่อยรถ ถนนบางนา-ตราดด ผมตัดสินใจเลือกใช้เส้นทางด่วนบูรพาวิถี เมื่อสุดทางก็เลือกที่จะวิ่งเข้าถนนสุขุมวิทผ่านเมืองชลบุรี ศรีราชา ตลาดหนองมน ก่อนจะตัดออกซ้ายมือเข้าไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ ได้วนเล่นรอบอ่างรอบสองรอบเพื่อให้รับรู้อารมณ์ของรถที่หลากหลาย
เครื่องยนต์จัดจ้านเร้าใจมากครับ การตอบสนองรวดเร็ว จากข้อมูลอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.4 วินาที ไม่เกินเลยแต่อย่างใด กดคันเร่งลงไปอาการหลังติดเบาะหาได้จากรถคันใหญ่คันหรู
ซึ่งเข้าใจว่าเจ้าของรถคงไม่มีโอกาสสัมผัสอารมณ์แบบนี้สักเท่าใด เพราะคงไม่มี พขร. คนไหน กล้าจะขับแบบนี้
การปรับเปลี่ยนความเร็ว การไล่ความเร็ว ทำได้เร้าใจมากครับ ทะลุ 200 ไปได้ไม่ยาก และเดาว่าคงจะถึงท็อปสปีดได้แบบไม่ต้องเค้นแรงปลาย
และสิ่งที่ดีจากคันนี้ในการใช้ความเร็วสูงคือ นิ่งมาก ล้อเกาะถนน ตัวถังตัดลม ไม่มีอาการวอกแวกจากลมปะทะ จะด้านหน้าหรือด้านข้างก็ตาม
และเมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนไปมา แน่นอน ต้องทำบ่อยครั้งกับสภาพจราจรเมืองไทย ความนิ่งของรถก็ทำให้มั่นใจได้ หรือการใช้ความเร็วในโค้งบนเส้นทางหลักรับรู้ได้ถึงความแน่นของช่วงล่าง
ดังนั้นการขับขี่จึงทำได้แบบผ่อนคลาย จับพวงมาลัยสบายมือ
เมื่อเข้าสู่เส้นทางรอบอ่างเก็บน้ำบางพระ ซึ่งเป็นถนน 2 เลนสวนทาง ทำให้ได้ลองใช้อัตราเร่งในการใช้งานจริง คือการเร่งแซง ซึ่งแน่นอน แซงได้สบายๆ
ถนนรอบอ่าง มีสภาพเส้นทางที่ให้ลองอารมณ์อื่นๆ ของรถได้บ้าง เพราะมีทางโค้งบนถนนแคบๆ อยูหลายโค้ง เลือกโหมดสปอร์ตแล้วก็ลุยกันเลย
น่าสนใจครับ รถที่มีขนาดใหญ่สู้กับโค้งได้สนุกใช้ความเร็วชนิดที่รู้สึกถึงแรงหนีศูนย์กลางของของตัวเราเอง แต่รถยังยึดมั่นกับเส้นทางอย่างเหนียวแน่น ไม่มีอาการเสียการทรงตัว ไม่มีโอเวอร์สเตียร์ หรือ อันเดอร์สเตียร์ ให้รู้สึก
ดังนั้นถ้าวันหนึ่งวันใด ถ้าเจ้าของที่นั่งเบาะหลังเร่งรีบ ก็สั่งให้ พขร. ลุยได้เต็มที่เลยครับ
แต่ว่าบุคลิกอย่างหนึ่งของ เอส-คลาส ก็คือความนุ่มสบายของช่วงล่างครับ แม้จะเลือกโหมดสปอร์ตที่ปรับค่าความหนืดแล้ว ก็ยังนุ่มอยู่ ดังนั้นแม้ว่าตัวรถจะมั่นคงกับการเกาะถนนที่ความเร็วชนิดผูัขับสนุก แต่คนนั่งอาจมีมึนๆ ได้เช่นกัน
ไม่ใช่ความผิดของรถครับ เพราะเขาไม่ได้ออกแบบมาให้ขับแบบนี้สักเท่าไร แต่ถ้าไม่ลองก็คงไม่รู้ครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ลองใช้ก็คือ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ หรือขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่ครั้งนี้เอส-คลาส ใหม่ มาในเลเวล 2 แก่ๆ ซึ่งทำงานได้แม่นยำดีทีเดียว ทั้งการรักษาความเร็ว-ระยะห่างจากคันหน้า และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางด้วยตัวเอง
ซึ่งการเลี้ยวไปมาทำได้นุ่มนวล ไม่กระตุก โดยผู้ขับแค่จับๆ พวงมาลัยไว้เบาๆ ให้ระบบรู้ว่ายังมีสมาธิอยู่กับรถ
ซึ่งจริงๆ แล้วระบบใหม่สามารถปล่อยมือได้นานทีเดียว ก่อนที่ระบบจะเตือนให้จับพวงมาลัย แต่ว่าตรงนี้ลองให้เห็นถึงความแม่นยำของระบบ แต่ว่าการใช้งานจริง ก็ไ่ม่ควรปล่อยมือจากพวงมาลัย เพราะนี่เป็นแค่ระบบเสริม ยังไม่ใช่ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบครับ