‘มาเก๊า’ เคล้าควันธูป

วางความเชื่อเดิมๆ ที่ว่ามาเก๊ามีแต่คาสิโน แล้วไปพบประสบการณ์ใหม่เพราะว่าที่นี่มีของดีอีกมากมาย
เป็นเรื่องจริงที่ว่ามาเก๊าเป็นดินแดนแห่งคาสิโน เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเจอตึกหลังโตซึ่งภายในนั้นเป็นดินแดนของนักเสี่ยงโชค ในทุกปีคนกลุ่มนี้จะนำเงินมหาศาลมาเพื่อวัดดวง บางคนได้ แต่หลายคนเสีย ทว่าความท้าทายนี้ก็ยังดึงดูดนักพนันได้เสมอ
สำหรับคนที่ไม่สนใจและมั่นใจได้ว่าถึงจะลองเสี่ยงไปก็ไม่มีทางได้แน่นอนอย่างผม พอได้ยินคำว่า มาเก๊า หรือ เขตบริหารพิเศษมาเก๊า จึงไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก ก็มาเก๊าในความทรงจำเป็นเพียงดินแดนเสี่ยงโชคเท่านั้นเอง
จนครั้งนี้ที่ได้มีเวลาละเมียดละมัยกับมาเก๊าอย่างค่อนข้างทั่วถึง เรียกได้ว่าบนพื้นที่ราว 30.4 ตารางกิโลเมตร ซึ่งแบ่งเป็นคาบสมุทรมาเก๊า 9.3 ตารางกิโลเมตร (ซึ่งเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่), เกาะไทปา 7.6 ตารางกิโลเมตร, เกาะโคโลอาน 7.6 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่พัฒนาใหม่โคไท 5.9 ตารางกิโลเมตร ผมไปเกือบทั่ว บางที่ได้ดื่มด่ำ บางที่ได้เพียงผ่าน แต่โดยรวมนับว่าได้รู้จักมาเก๊าในมุมมองใหม่
...
แม้มาเก๊าจะมีบ่อนการพนันเป็นของขึ้นชื่อ แต่ใช่ว่าที่นี่จะเป็นดินแดนของ ‘นักเสี่ยงดวง’ เท่านั้น เพราะมาเก๊าคือดินแดนของ ‘นักเสริมดวง’ ด้วย อย่างที่ผู้นำทริปครั้งนี้คือ หมอช้าง - ทศพร ศรีตุลา หมอดูชื่อดังได้พาตระเวนเข้าวัดนั้น ศาลเจ้าโน้น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ ทำเอาอิ่มบุญกันเลยทีเดียว
เริ่มจากที่แรก วัดเปากง หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม เปาบุ้นจิ้น วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1889 เนื่องจากเกิดกลียุค เจ้าหน้าที่รัฐเอารัดเอาเปรียบประชาชน เมื่อแก้ไขที่ระบบไม่ได้ ชาวบ้านจึงรวมตัวกันสร้างศาลและอัญเชิญองค์เปาบุ้นจิ้นมาประทับ ด้วยเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าความอยุติธรรมไปได้ คนที่ต้องการขอพรเรื่องความยุติธรรม การทำธุรกิจหรือเอกสารโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และคนที่สอบเป็นนักกฎหมาย จึงนิยมมาที่วัดเปากง
นอกจากนี้ตรงอาคารด้านซ้ายเป็น วิหารไท้ส่วยเอี๊ย เทพเจ้าเกี่ยวกับดวงชะตา ซึ่งที่นี่มีไท้ส่วยเอี๊ยมากถึง 60 องค์ เป็นองค์ประจำปี ค.ศ.ต่างๆ ใครเกิดปีอะไรก็เน้นไหว้องค์ประจำนั้นๆ ได้เลย สำหรับคนที่เกิดปีชงตามความเชื่อจีน ก็ให้บอกกล่าวไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีนี้ว่าขอให้คุ้มครองและให้เป็นปีที่ดี
หากสังเกตจะเห็นว่าที่หน้าองค์เทพเจ้าจะมีกองกระดาษเทินเป็นตั้งๆ อยู่ นั่นคือกระดาษที่แทนกองเงิน คนเกิดปีไหนก็นำเงินนั้นมากอง เชื่อว่าจะหนุนนำให้ชีวิตดี มีโชคลาภ ร่ำรวย
ท่านเปาไปแล้ว...ตามมาด้วยเทพเจ้าอีกองค์ที่คนไทยคุ้นเคย คือ ‘กวนอู’ ระหว่างทางที่เดินมาจุดต่อไปนี้คือแหล่งชอปปิงที่ชื่อว่าตลาดเซนต์โดมินิก แต่ย่านการค้าก็ทำอะไรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้ ตัดภาพมาที่ศาลเจ้าอายุหลายร้อยปี แถม UNESCO ยังยกให้เป็นมรดกโลก วัดกวนอู หรือ วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Yui Kun Temple) หรือ วัดกวนไท (Kuan Tai Temple) มั่นใจได้ว่าหลายคนจะนึกถึงกวนอูในเวอร์ชั่นหน้าแดง ยืนสง่าผ่าเผย ถือง้าวมังกรเขียวเสี้ยวจันทร์ ดูขึงขังดุดัน แต่ที่นี่กวนอูอยู่ในปางสุดคลาสสิกคือนั่งบนเก้าอี้ แต่ข้างๆ ยังมีอาวุธคู่กายและม้าเซ็กเธาว์อยู่คู่บารมีด้วย
เชื่อกันว่ากวนอูเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ทรงคุณธรรม จึงเป็นที่ชื่นชอบและเคารพในฐานะเทพอุปถัมภ์และเทพผู้ปกครองคุ้มครองของตำรวจ นักการเมือง และผู้นำทางธุรกิจ เพราะเชื่อว่าปกป้องสิ่งชั่วร้ายต่างๆ และช่วยเสริมอำนาจบารมีในการปกครองและคุ้มครองบริวาร
สำหรับคนที่เคยไปมาเก๊าหรือเคยรู้จักมาเก๊าอยู่บ้าง จะต้องนึกถึงแลนด์มาร์คสำคัญคือ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล แต่ยังมีอีกหลายคนที่สนใจเพียงความสวยงามและประวัติศาสตร์ของซากประตูนั้น โดยไม่รู้ว่าที่ข้างๆ จุดที่ทุกคนแห่กันไปถ่ายรูปจนแน่นขนัด มีศาลเจ้าหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ทั้งที่ที่นี่คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และเป็นอีกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
วัดนาจา (Na Cha Temple) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1888 เพื่ออุทิศให้เทพเจ้านาจาเพราะในปีนั้นเกิดโรคระบาดรุนแรง ชาวบ้านจึงสร้างศาลเจ้านี้และอัญเชิญเทพเจ้านาจามาช่วยปกป้องคุ้มครองและปัดเป่าโรคร้ายให้หมดไป และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอิสระทางศาสนาของมาเก๊า
ศาลเจ้านี้เป็นที่นิยมของคนที่ต้องการขอลูกหลานไว้สืบสกุลหรือขอเรื่องสุขภาพพลานามัยเช่นเดียวกับนาจา
ส่วนเรื่องเงินเรื่องทองนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าเกือบทุกคนก็คาดหวังว่าจะได้รับพรอันประเสริฐเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าแต่ละวัดแต่ละศาลเจ้าในมาเก๊าจะมีเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ทว่าที่ วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Iam Temple) เด่นด้านนี้
ว่ากันว่าวัดนี้เป็นวัดของเทพเจ้าแห่งเมตตา โดยสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ส่วนอาคารที่เห็นในปัจจุบันก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1627 เป็น 1 ใน 3 วัด ที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ภายในวัดมีองค์กวนอิม ที่ประดิษฐานภายในแต่งเครื่องทรงอาภรณ์ ด้วยชุดเจ้าสาวโบราณทำจากผ้าไหมงดงาม หลายคนจึงมาขอพรเรื่องความรักด้วย
สำหรับพระประธานจะอยู่ด้านในสุดคือแท่นเจ้าแม่ วิธีขอพรคือการถวายเงิน (กองกระดาษ) ซึ่งมีหลายขนาดหลายราคาตามแต่กำลังทรัพย์ แล้วเขียนชื่อ-นามสกุล ถวายเพื่ออธิษฐาน หมอช้างอธิบายว่าเหมือนนำเงินมาฝากไว้ แล้วรับโชคดีกับความร่ำรวยเป็นดอกเบี้ย โดยจะไม่เรียกว่าการบนบาน พิธีแบบนี้ทำได้ทุกวัน แต่จะมีฤกษ์ที่ดีที่สุดเรียกว่า ‘ฤกษ์เปิดทรัพย์’ คือ 1 เดือนหลังจากตรุษจีนตามปฏิทินจันทรคติ แม้แต่มหาเศรษฐีแห่งมาเก๊าก็ยังมาขอเงินจากองค์กวนอิมในวันเปิดทรัพย์
ต่อด้วยอีก 1 ใน 3 วัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ชื่อว่า วัดหลินฟง หรือ วัดดอกบัว สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงในปี ค.ศ.1592 เป็นวัดในลัทธิเต๋าแห่งเดียวในมาเก๊า และเป็นวัดเดียวที่มีโรงเรียนภายในวัด
ที่วัดนี้มีพื้นที่กว้างขวาง โอ่อ่า ภายในเป็นที่ประดิษฐานของเทพทางการแพทย์ นามว่า ‘อี้เล่งไตไต’ และ ‘หลั่นหลงไตไต’ ผู้คนจึงนิยมมาขอพรให้สุขภาพดี ปลอดจากโรคภัย อีกทั้งมีการบนบานเพื่อให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย นอกจากนี้ภายในวัดยังมีเทพนามว่า ‘กิวฮัว’ หรือ ‘กิมฮวย’ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพที่อำนวยพรให้แม่และเด็ก ผู้คนจึงนิยมมาขอพรให้คลอดบุตรง่ายและให้สุขภาพแข็งแรง
ภายในห้องโถงมีรูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมบนโต๊ะบูชาขนาบข้างด้วยนายพลที่เป็นองครักษ์ ถัดไปเป็นลานที่ตกแต่งด้วยภาพมังกรม้วนตัวบนผนัง มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยดอกบัว ส่วนห้องโถงหลักเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมปางผู้ชาย ซึ่งเป็นความเชื่อมาชมพูทวีปหรือแถบอินเดีย เป็นองค์เดียวกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ข้างๆ คือ ศาลเจ้าควันไท เพดานวัดเป็นตัวอย่างที่ดีของการก่อสร้างโดยใช้คานสีดำและกระเบื้องสีขาว วัดนี้มีชื่อเสียงมานานหลายศตวรรษ ผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่มาเยือนคือ ลินเซซู ข้าหลวงใหญ่ที่เดินทางมามาเก๊าเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.1839 ทางวัดจึงสร้างรูปสลักหินแกรนิตสูงหกฟุตเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
ปิดท้ายที่วัดดังที่สุด มีคนมากราบไหว้มากที่สุดของมาเก๊า คือ วัดอาม่า (A-Ma Temple) ซึ่งก่อตั้งขึ้นก่อนที่จะมีเมืองมาเก๊าเสียอีก สร้างขึ้นในสมัยรางวงศ์หมิง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1488 ทั้งความเก่าแก่และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทำให้ UNESCO ยกให้เป็นมรดกโลกด้วย
วัดนี้ประกอบด้วยประตูทางเข้า ซุ้มประตูแห่งการรำลึก หอสวดมนต์ หอแห่งความเมตตา หอเจ้าแม่กวนอิม และศาลาเซิ้งเจ้าชานลิน (ศาลาพุทธ) ที่อุทิศให้แด่เทพองค์ต่างๆ เรียกได้ว่าวัดอาม่าเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมจีนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า พุทธศาสนา และความเชื่อพื้นบ้านต่างๆ มาผสมผสานกัน
ภายในวัดมีองค์อาม่าหรือเจ้าแม่ทับทิมเป็นองค์ประธาน ผู้คนนิยมมาขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลให้ตัวเองและครอบครัว โดยบูชาด้วยธูปขด-เทียน หรือเทียนดอกบัวคู่เพื่อขอพรเรื่องคู่ครองคนรัก ภายในวัดมีก้อนหินขนาดใหญ่และสลักเป็นรูปเรือสำเภาโบราณ เชื่อกันว่าหากพกธนบัตรที่นำไปลูบกับภาพจำลองเรือแกะสลักบนหินแล้วจะมีโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา
เมื่อ 2 ปีก่อนที่วัดอาม่าไฟไหม้ครั้งใหญ่ แต่ที่น่ามหัศจรรย์คือตรงรูปปั้นอาม่าไม่เป็นไรเลย มีแค่เขม่าดำติดเล็กน้อย
ส่วนบริเวณหน้าวัดแต่เดิมอยู่ติดริมทะเล ต่อมาได้มีการถมทะเลทำให้ตัววัดอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดิน คนส่วนมากที่มากราบไหว้ที่นี่คือผู้ที่ทำธุรกิจการค้า การขนส่ง เพื่อขอพรให้การเดินทางราบรื่น ปลอดภัย ไม่มีอุปสรรคใดมากขวางกั้น
นอกจากได้สูดควันธูปจากการไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว การเที่ยวจะครบรสก็ต้องได้ชื่นชมบ้านเมืองและสถานที่สำคัญๆ ด้วย อย่างที่ฝั่งเกาะไทปาบริเวณทางตอนใต้มีย่านเก่าที่มองมุมไหนก็รู้สึกถึงความเป็นตะวันออก สมกับที่ชาวโปรตุเกสเคยเข้ามาอยู่ในดินแดนนี้ สถานที่ที่อธิบายความเป็นไทปาได้แจ่มชัดสุดคงไม่พ้น พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา (Taipa Houses Museum) ประกอบด้วยบ้านเก่าสีเขียว 5 หลังเรียงกัน แต่ละหลังภายนอกสวยงามสูสี แต่ภายในได้รับการตกแต่งเพื่อบอกเล่าเรื่องราวแตกต่างกัน
บ้านทั้ง 5 หลังนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1921 ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของข้าราชการพลเรือนอาวุโส ในปี ค.ศ.1992 ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ต่อมารัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะปรับปรุงบ้านให้เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมในสิ้นปี ค.ศ.1999
ในเดือนกันยายน 2016 เขตปกครองพิเศษมาเก๊าได้ปรับปรุงบ้าน 5 หลังนี้เพื่อให้เป็น พิพิธภัณฑ์มาเก๊า, ห้องจัดแสดง, บ้านแห่งความสร้างสรรค์, บ้านแห่งความคิดถึง และ บ้านพักรับรอง จากตะวันตกไปตะวันออก ตามลำดับ
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า สร้างจากชีวิตประจำวันที่ผ่านมาของมาเก๊า คำว่า ‘มาเก๊า' หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบรรพบุรุษโปรตุเกสแต่งงานจีนมาเลย์และชาวฟิลิปปินส์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียจากเอเชียใต้ในมาเก๊า มีภาษาและการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง
ห้องจัดแสดง แสดงนิทรรศการความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังใช้จัดเป็นนิทรรศการและใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของโลกและศิลปะ
บ้านแห่งความสร้างสรรค์ ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการแสดงนิทรรศการและการส่งเสริมวัฒนธรรมของมาเก๊าและประเทศที่พูดภาษาโปรตุเกส มีของที่ระลึกจำหน่าย
บ้านแห่งความคิดถึง การจัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับคนมาเก๊าและย่าน Cotai มีการจัดเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงพื้นเมืองวัฒนธรรม, ชีวิต, ศาสนา, สถาปัตยกรรมและอาหารของชุมชนมาเก๊าและย่าน Cotai ในอดีตและปัจจุบัน
และ บ้านรับรอง บ้านนี้ไม่ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชม แต่เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการเลี้ยงและกิจกรรมอื่นๆ
เดินต่อมาอีกหน่อยน่าจะถูกใจสายชอปปิง สายกิน ผู้หลงใหลรสชาติและบรรยากาศของสตรีตฟู้ด เพราะที่นี่คือ ไทปาฟู้ดสตรีต (Taipa Food Street) เป็นถนนสายอร่อยที่ตั้งอยู่บนถนน Rua do Cunha สองข้างทางเต็มไปด้วยอาหาร ขนม ของฝาก และแน่นอนว่ามีผู้คนเดินกันหนาแน่นคึกคัก ใครขี้เหงารับรองว่านอกจากหายเหงาใจยังหายเหงาปากอีกด้วย (เพราะได้ชิมตลอดทาง) ส่วนร้านไหนดรร้านไหนดัง คงไม่ต้องแนะนำ เพราะทุกร้านที่อยู่ในถนนสายนี้ได้ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน
ไปที่จัตุรัส Company of Jesus คือที่ตั้งของแลนด์มาร์คซึ่งถูกกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ที่นี่คือ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruin of St’Paul’s) เป็นด้านหน้าของโบสถ์มาแตร์เดอีที่ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1602 – 1640 แต่ถูกทำลายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ.1835 และซากของวิทยาลัยเซนต์ปอลที่อยู่ถัดไปจากโบสถ์ ทั้งโบสถ์มาแตร์เดอีเดิม วิทยาลัยเซนต์ปอล และป้อมปราการเป็นสิ่งปลูกสร้างของพระนิกายเยซูอิต และเข้าใจว่าเป็นป้อมปราการของมาเก๊า ใกล้ๆ กันมีซากโบราณสถานของวิทยาลัยเซนต์ปอลที่เป็นหลักฐานของมหาวิทยาลัยแบบตะวันตกแห่งแรกในตะวันออกไกลที่มีหลักสูตรการสอนอันละเอียด ทุกวันนี้ด้านหน้าของซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของแท่นบูชาให้แก่เมืองนี้ และอีกหน้าที่หนึ่งคือฉากหลังยอดนิยมให้ผู้คนมาถ่ายรูป
และถือเป็นธรรมเนียมของการมามาเก๊า ที่จะต้องลิ้มรสขนมชื่อดังที่มีรกรากจากชาวโปรตุเกส นั่นคือ ทาร์ตไข่ และหนึ่งในร้านทาร์ตไข่ชื่อดังอันดับต้นๆ ที่มาเก๊าก็คือร้าน Lord Stow’s Bakery ซึ่งว่ากันว่าเป็นเจ้าแรกที่ทำทาร์ตไข่มาขายที่มาเก๊า จุดเริ่มต้นของร้านนี้มาจาก Andrew Stow ชาวอังกฤษได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่มาเก๊า ซึ่งเดิมนั้นเขาทำงานให้กับบริษัทขายยา ต่อมาก็มาทำงานทางด้านโรงแรม ก่อนจะมีโอกาสได้ฝึกงานที่ร้านอาหารโปรตุเกส จากนั้นก็ได้คิดค้นสูตรทาร์ตไข่สไตล์โปรตุเกสที่ผสมผสานเทคนิคแบบอังกฤษลงไปด้วย กลายมาเป็นทาร์ตไข่ชื่อดังที่วางขายในร้านมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 เป็นต้นมา
แม้จะไม่ใช่ผู้หลงใหลทาร์ตไข่ แต่จะกี่ครั้งที่มาเยือนมาเก๊า ก็ไม่เคยพลาดกินทาร์ตไข่ไม่ว่าจะของเจ้าดังเจ้านี้หรือเจ้าอื่นที่บางร้านก็อร่อยไม่แพ้กัน แค่นึกถึงความนุ่มนวลของไส้ไข่ที่ไม่เหลวเป๋ว รสหวานกำลังดี กับแป้งบางกรอบหลายชั้น หอมเนย ก็แทบจะรีบแพ็คกระเป๋าตีตั๋วไปมาเก๊าอีกครั้งทันที
...
ตั้งแต่กลิ่นควันธูปชุ่มปอด สถาปัตยกรรมสวยชื่นใจ และหลากหลายของอร่อย ได้เปลี่ยนความเข้าใจเดิมเรียบร้อยแล้วให้รู้ว่า “มาเก๋า เค้ามีอะไรอีกเยอะ”