นักการเมืองคือใคร จะควบคุมได้อย่างไร

นักการเมืองคือใคร จะควบคุมได้อย่างไร

ในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์คนหนึ่งรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กๆ เมื่อได้ยินบรรดา

ผู้ทรงอำนาจในปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติที่มักจะย้ำอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่นักการเมืองทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ก่อนที่จะอธิบายว่าทำไมผมจึงกล่าวว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมขอเริ่มจากความหมายของคำว่า “การเมือง” ก่อนว่าแท้จริงแล้วมันมีความหมายว่าอย่างไร

คำว่า การเมือง นั้นมีผู้ให้ความหมายไว้หลายต่อหลายคน ทั้งนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศ แต่ที่เป็นที่ยอมรับว่าสามารถสื่อความหมายได้ใกล้เคียงที่สุดก็คือแนวคิดของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ นักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันที่ได้กล่าวไว้ว่า “การเมือง คือการได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร” ฉะนั้น การเมืองจึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่มีการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่เว้นแม้แต่ในสังคมเล็กๆ หรือในหมู่เพื่อนฝูงญาติมิตร

เมื่อหันมาพิจารณาความหมายของ นักการเมือง” ที่มีความหมายแคบลงแล้วจะเห็นได้ว่ามีการให้ความหมายไว้หลายๆ ความเห็นเช่นกัน โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด ได้ให้ความหมายไว้ว่า “นักการเมือง น.ผู้ฝักไฝ่ในทางการเมือง, ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา” ส่วน Cambridge Dictionary อธิบายว่า Politician – a member of a government or law-making organization(นักการเมือง – สมาชิกของคณะรัฐบาลหรือขององค์การที่ตรากฎหมาย (ซึ่งก็คือสภานิติบัญญัติหรือรัฐสภานั่นเอง)

ยิ่งชัดขึ้นเมื่อเรามาดูเนื้อความที่มาตรา4แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ.2535 ได้กำหนดตำแหน่งเหล่านี้ว่าเป็นข้าราชการการเมือง คือ

จากคำนิยามเบื้องต้นสามารถขยายความให้เข้าใจได้โดยง่ายว่า นักการเมืองคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ และการวินิจฉัยสั่งการ ซึ่งหมายความรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งวินิจฉัยสั่งการในรัฐบาล ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเลือกตั้ง การสืบทอด การรัฐประหาร การแต่งตั้ง หรือวิธีการอื่นใดและรวมถึงผู้ที่มีหน้าที่ในการตรากฎหมายนั่นเอง

ฉะนั้น การที่ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติ ฯลฯ ในปัจจุบันที่มักจะพูดอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่นักการเมืองนั้นจึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติก็คือนักการเมืองตามความหมายทางวิชาการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเช่นกัน เพียงแต่แตกต่างกันในวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของนักการเมืองที่เข้าใจว่าตนเองไม่ได้เป็นเท่านั้นเอง

การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในโลกนี้นั้นมีได้หลายวิธี ที่เป็นที่นิยมและได้รับการเชื่อถือมากก็คือการเข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเป็นการเลือกตั้งทางตรงหรือการเลือกตั้งทางอ้อมก็ได้สุดแล้วแต่รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆจะบัญญัติไว้ การเลือกตั้งทางอ้อมก็มีหลายวิธีอีกเช่นกัน เช่น การไปเลือกคณะ ผู้เลือกตั้ง (electoral college) เพื่อไปเลือกประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หรือการเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้ไปเป็นสมาชิกวุฒิสภาจำนวนกึงหนึ่งของฝรั่งเศส ฯลฯ

นอกจากการเข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีการเลือกตั้งแล้วก็ยังมีอีกหลายวิธี เช่น ในประเทศสังคมนิยมก็ใช้วิธีการคัดเลือกผ่านสภาประชาชน หรือแบบบ้านเราในปัจจุบันก็คือ การเข้าสู่ตำแหน่งด้วยวิธีการรัฐประหาร ซึ่งเมื่อทำรัฐประหารสำเร็จก็มีการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อมาบริหารประเทศ และแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติมาเพื่อออกกฎหมาย หรือไม่เช่นนั้นก็ตั้งโดยตรงเลย เช่น ในประเทศที่ยังใช้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในบางประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น

โดยทั่วไปแล้ว คนเรามันจะติดภาพว่านักการเมืองนั้น จะเป็นผู้ที่สังกัดพรรคการเมืองในระดับชาติหรือกลุ่มการเมืองในระดับท้องถิ่น และมีแนวความคิดเหมือนกันทั่วโลกว่า นักการเมืองนั้นต้องเป็นคนเลว พูดปดเชื่อถือไม่ได้ ทุจริตคอร์รัปชัน แต่ในความเห็นของผมนั้นนักการเมืองก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ข้าราชการ พระสงฆ์องค์เจ้า พ่อค้านักธุรกิจ ฯลฯ ที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีขาวมีดำ มีสีเทาๆ เพียงแต่ว่าอาชีพนักการเมืองนั้นดูเหมือนหาคนดีได้ยากหน่อยเท่านั้นเอง เหตุก็เนื่องเพราะนักการเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจ และอำนาจนั้นเป็นสิ่งเสพติดและมักจะทำให้เสียคนในที่สุด แต่ถึงแม้ว่าจะหาคนดีได้ยากแต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีเลย เพราะในแต่ละรัฐหรือในแต่ละประเทศก็มีวีรบุรุษวีรสตรีหรือรัฐบุรุษที่เคยเป็นนักการเมืองตามความหมายที่ให้ไว้ข้างต้นเช่นกัน

ขึ้นชื่อว่า “นักการเมือง” นั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองไทยหรือของต่างประเทศ ก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก เพราะ “นักการเมือง” ในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยชั้นแนวหน้าทั้งหลายก็ถูกลงโทษมีให้เห็นอยู่เสมอๆ เหตุเนื่องเพราะนักการเมืองก็คือ คน” ย่อมมีกิเลสตัณหา แต่ระบบการตรวจสอบที่ดีและระบบยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพต่างหาก ที่จะคอยควบดูแลและลงโทษผู้ที่ประพฤติไม่อยู่ในร่องในรอย แต่หากประเทศใดก็ตาม ไม่มีระบบการตรวจสอบที่ดี มีการเลือกปฏิบัติ ลูบหน้าปะจมูก แม้ว่าจะออกกฎกติกามาดีขนาดไหนก็ตามก็ยากที่ควบคุมลงโทษนักการเมืองที่ไม่อยู่ในร่องในรอยนั้นได้ครับ