เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดทุนไทย ก.ล.ต. ทำอะไรในปี 2567

เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดทุนไทย ก.ล.ต. ทำอะไรในปี 2567

ปี 2567 ก.ล.ต. ได้ดำเนินโครงการและมาตรการสำคัญไปแล้ว 73 โครงการ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำต่อเนื่อง รวมถึงการประเมินผลมาตรการที่ได้ทำไปแล้ว เช่น มาตรการกำกับดูแลธุรกรรม Short Selling และ Program Trading ที่ดูสถิติในเบื้องต้นพบว่า สัดส่วน Short Selling ลดลงเหลือประมาณ 5% จากประมาณ 15%

ต้องยอมรับว่า ปีที่ผ่านมาตลาดทุนไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน และหลายเรื่องมีผลต่อความเชื่อมั่น ซึ่ง ก.ล.ต. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้ความสำคัญกับการยกระดับความเชื่อมั่นและส่งเสริมให้ตลาดทุนเติบโตอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่องครับ โดยหลายอย่างมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น จึงขอนำบางโครงการด้าน Trust and Confidence ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ “แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต.” ที่ดำเนินการไปในปี 2567 มาเล่าให้ฟังกันครับ

“โครงการผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง” โดยยกระดับการทำหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนทุกกลุ่ม ทั้งการส่งเสริมบทบาทความรับผิดชอบให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Line of defense) เช่น กรรมการ กรรมการตรวจสอบ กรรมการอิสระ ผู้บริหารและเลขานุการ เพื่อเน้นย้ำความสำคัญในการปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ การยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพ (Gatekeeper) เช่น ผู้สอบบัญชีและที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริม Investor empowerment เพื่อให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้ รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับภัยหลอกลวงลงทุน

“การยกระดับคุณภาพตราสารหนี้” ตั้งแต่การเปิดเผยข้อมูล ยกระดับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้เข้มงวดมากขึ้นและปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มประเภท Key financial ratio ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม การกำหนดแนวทางการจัดการตราสารหนี้เสี่ยง กำหนดลักษณะของผู้ออกหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องติดตาม การยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน โดยปรับปรุงแนวปฏิบัติและร่วมกับ ThaiBMA จัดทำตัวอย่างสัญญาแต่งตั้งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และ Credit Rating Agency 

“การสร้างความเป็นธรรมในธุรกรรม Short Selling และ Program Trading และเพิ่มความโปร่งใสของธุรกรรมในตลาดทุน” ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมาตรการกำกับดูแลธุรกรรม Short Selling เป็นการเพิ่มคุณภาพหุ้น non-SET100 ที่สามารถขายชอร์ตได้ให้เป็นหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงขึ้น และปรับปรุงเกณฑ์ซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อจำกัดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 และมาตรการกำกับดูแล Program Trading โดยกำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความเร็วสูง (HFT) เพื่อให้รู้ตัวตนลูกค้าและตรวจสอบได้ รวมถึงทบทวนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผ่านการเพิ่มลักษณะคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสมให้ครอบคลุมพฤติกรรมการซื้อขายในปัจจุบัน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการดูแลการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยการกำหนดกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เพื่อช่วยลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ระหว่างวันไม่ให้ร้อนแรงเกินไป และการเพิ่มวิธีจับคู่ซื้อขายในคราวเดียว (Auction) สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ และในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ยังกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ต้องทำความรู้จักระบบงานของลูกค้า ที่เป็น บล. ต่างประเทศ การปรับปรุงเกณฑ์การให้วงเงินลูกค้าให้เหมาะสมกับความเสี่ยง 

“การใช้เทคโนโลยีในการกำกับดูแล” ซึ่งมีทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีในการกำกับดูแล เพื่อยกระดับการกำกับดูแล เพิ่มความถูกต้อง แม่นยำ และเท่าทันต่อความเสี่ยง เช่น เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อขายที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรม ระบบตรวจจับความผิดปกติที่อาจกระทบต่อคุณภาพงานสอบบัญชี และระบบเชื่อมโยงความสัมพันธ์บุคคล/นิติบุคคล รวมทั้งร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาระบบ Health Check เพื่อตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงเรื่องทุจริต/การตกแต่งงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน โดยเปิดใช้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 

“การประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย” นอกจากการใช้เทคโนโลยีในการกำกับดูแลแล้ว ก.ล.ต. ยังมีการปรับกระบวนการในด้านบังคับใช้กฎหมายให้กระชับมากขึ้น ทั้งการปรับกระบวนการทำงาน การปรับโครงสร้างองค์กรและเพิ่มบุคคลากร รวมทั้งการทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างใกล้ชิด ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น การจัดการเคสได้เร็วขึ้นประมาณ 15% จากปี 2566 ขณะเดียวกันยังคงรักษาคุณภาพการทำงานไว้ด้วย 

ในปี 2567 นอกจากงานด้าน Trust and Confidence แล้ว ในแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ยังมีงานอีก 3 ด้านที่สำคัญ ซึ่งในแต่ละด้านมีโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วหลายอย่างเลยครับ 

ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เช่น ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล (Digital Infrastructure : DIF) การผลักดันการแก้กฎหมายเพื่อรองรับการแปลงสินทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัล และส่งเสริมการระดมทุนผ่าน Investment token ที่หลากหลาย 

ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน เช่น จัดทำ ESG Product platform และการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจผนวกปัจจัยด้าน ESG ในกระบวนการวิเคราะห์หลักทรัพย์ การให้คำแนะนำการลงทุนและการบริหารจัดการลงทุน 

ผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี เช่น ขยายขอบเขตการลงทุนของกองทุน Thai ESG การปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ ETF และการติดอาวุธความรู้ให้ผู้ลงทุนในช่วงวัยต่าง ๆ

หากนับรวมกันแล้ว เมื่อปี 2567 ก.ล.ต. ได้ดำเนินโครงการและมาตรการสำคัญไปแล้ว 73 โครงการ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำต่อเนื่อง รวมถึงการประเมินผลมาตรการที่ได้ทำไปแล้ว เช่น มาตรการกำกับดูแลธุรกรรม Short Selling และ Program Trading ที่ดูสถิติในเบื้องต้นพบว่า สัดส่วน Short Selling ลดลงเหลือประมาณ 5% จากประมาณ 15% ขณะที่การซื้อขายด้วย Program trading ลดลงเล็กน้อยในช่วงแรกที่กำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความเร็วสูง ซึ่ง ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างประเมินผลร่วมกัน เพื่อนำมาดูว่าหลังจากใช้มาตรการไปแล้ว 6 เดือน ผลเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่ และยังมีจุดใดที่สามารถปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันมากยิ่งขึ้นหรือไม่ครับ

สำหรับปี 2568 ก.ล.ต. จะดำเนินการอะไรต่อไปเพื่อยกระดับ Trust and Confidence ให้เพิ่มมากขึ้น ทุกท่านสามารถรับชม “งานสัมมนาแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568” ซึ่งจะถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ของ “สำนักงาน กลต.” ในวันที่ 30 มกราคม 2568 เริ่มตั้งแต่ 9.30-11.45 น. ครับ

ก.ล.ต. ดูแลตลาดทุน เพื่อให้คุณมั่นใจ