คิด สื่อสาร และทำงานเป็นทีม
เราผ่านเข้าสู่ยุคการทำงานเป็นทีมมานับทศวรรษแล้ว การเก่งคนเดียว การโตเดี่ยว จึงไม่มีประโยชน์ในทุกวันนี้
ประสบการณ์ในโลกธุรกิจ 45 ปีของผม อาจไม่ได้หวือหวามากนักเมื่อเทียบกับความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน แต่การก้าวผ่านความสำเร็จและความล้มเหลวมาหลายครั้งหลายหนก็อาจทำให้มีเรื่องราวที่น่าจะเป็นประโยชน์ถ่ายทอดให้กับคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ
เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า สมองของคนเราก็ไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์ดิจิทัลที่ต้องหมั่นอัพเดทเฟิร์มแวร์อยู่ตลอดเวลา บางฟังก์ชั่นอาจล้าสมัยไม่เป็นที่ต้องการในปัจจุบันก็ต้องตัดทิ้งแล้วเพิ่มซอฟต์แวร์สมัยใหม่เข้าไปแทนที่
ความรู้ที่เราได้จากสถาบันการศึกษาจึงไม่มีวันพอเพียงในโลกยุคดิจิทัลเช่นนี้ แม้หลายคนจะขวนขวายสอบเข้าสถาบันเก่าแก่ที่ต้องสอบแข่งขันสูงเพื่อหวังแต้มต่อที่จะหางานทำได้ง่ายในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะในมุมมองของฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่มีใบสมัครของเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษานับพันคน การดูชื่อเสียงสถาบันและคะแนนสะสมตลอดการเรียนก็ช่วยให้คัดเลือกบุคลากรได้ง่ายขึ้น
แต่เมื่อฝ่าด่านแรกเข้ามาได้แล้ว การจะ “ได้ไปต่อ” หรือการเติบโตในหน้าที่การงานนั้นจะพบว่าคะแนนเฉลี่ยและชื่อเสียงของสถาบันที่เราเรียนจบมาจะค่อย ๆ ลดความสำคัญลงเรื่อย ๆ เพราะยิ่งนานวันเข้าตัวชี้ขาดว่าเราจะเติบโตได้หรือไม่จะกลายเป็นเรื่องของการทำงานตรงตามความต้องการขององค์กรเป็นหลัก
นั่นหมายความว่าคนที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก หรือมีคะแนนเฉลี่ยไม่สูงจะมีโอกาส “ตามทัน” เพื่อนฝูงที่ออกตัวนำไปก่อนได้ในช่วงนี้เอง โดย 3-5 ปีที่จะตามได้ทันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และแสวงหาความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับขององค์กรได้
ไม่นับกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่เข้าสู่วิถีสตาร์ตอัพ คือก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่สนใจว่าต้องทำตัวให้เป็นที่ต้องการของนายจ้างสักเท่าไรนัก แต่ความเป็นสตาร์ตอัพจะผลักดันให้เขาต้องแข่งขันกับตัวเองเพื่อสร้างสินค้าและบริการใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ
สำหรับคนทั่วไป ที่แสวงหาโอกาสเรียนรู้และเติบโตในองค์กรธุรกิจจึงจำเป็นต้องเข้าใจภูมิทัศน์เหล่านี้ เพราะในอดีตเราอาจใช้ชื่อเสียงของสถาบัน และระบบรุ่นพี่รุ่นน้องผลักดันให้เราเติบโตในองค์กรได้นานนับสิบปี แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเราได้หากเราไม่ทันยุคไม่ทันสมัย ไม่ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แต่การจะเติบโตได้ก็อาศัยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ นั่นการคิดแบบ Critical Thinking เพราะความผันผวนของโลกยุคปัจจุบันทำให้เราต้องรับมือกับปัญหาและวิกฤติการณ์ใหม่ ๆ ที่ก่อตัวขึ้นตลอดเวลา ทักษะในการคิดและการแก้ปัญหาได้จึงเป็นที่ต้องการขององค์กรธุรกิจในปัจจุบัน
ประการที่สอง คือ ความสามารถในการสื่อสารและถ่ายทอดความคิดอย่างเป็นระบบ เพราะหลายครั้งองค์กรมักมีแต่คนเก่งแต่เพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีใครที่จะถ่ายทอดความคิดเพื่อให้ทั้งองค์กรมองเห็นเป้าหมายเดียวกันได้ ก็ทำให้ขาดพลังและขาดการรวมพลังจนอาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ทักษะในการสื่อสารและการถ่ายทอดความคิดจึงเป็นสิ่งที่คาดไม่ได้ ยิ่งในยุคปัจจุบันการสื่อสาร เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นโซเชียลมีเดีย และระบบดิจิทัลอื่นๆ ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นตรงกัน
ประการสุดท้าย คือ การทำงานร่วมกับผู้อื่น เพราะเราผ่านเข้าสู่ยุคการทำงานเป็นทีมมานับทศวรรษแล้ว การเก่งคนเดียว การโตเดี่ยว จึงไม่มีประโยชน์ในทุกวันนี้ คนที่เก่งด้านการขาย แต่หากทำงานร่วมกับฝ่ายการตลาดไม่ได้ หรืออาจมีความขัดแย้งกับฝ่ายบัญชี ฯลฯ ก็ไม่มีโอกาสที่จะสร้างผลงานได้แน่
การทำงานเป็นทีมจะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน และยังสามารถใช้ทรัพยากรทั้งหมดของบริษัทเพื่อผลักดันให้งานประสบความสำเร็จได้เร็วที่สุด...ยังมีรายละเอียดอื่นที่น่าสนใจ ติดตามต่อในฉบับหน้าครับ