ยังเน้นเลือกเก็งกำไรรายตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังฟื้นตัวน้อย

ยังเน้นเลือกเก็งกำไรรายตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังฟื้นตัวน้อย

นักลงทุนมองหาจุดต่ำสุดของตลาด ทยอยซื้อกลุ่มหุ้นที่ราคายัง Laggard หรือมีส่วนต่างมูลค่าที่สูง ตลาดหุ้นโลกรวมถึงไทยเริ่มทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความคาดหวังการเกิด Soft landing ของภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

ผ่านการลดลงของอัตราเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงินของกลุ่มธนาคารกลางที่จะเริ่มคงที่หรือไม่เข้มงวดมากไปกว่าเดิม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยจากการประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET index ผ่านอัตราส่วน Earnings Yield Gap พบว่าบริเวณดัชนีที่ 1600 หรือต่ำกว่า เป็นจุดที่มีความน่าสนใจในการเริ่มเข้าทยอยซื้อสะสมหุ้น โดยกลุ่มหุ้นที่ราคายัง Laggard และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ อาทิ ท่องเที่ยว, ค้าปลีก, นิคมฯ, รับเหมาฯ, รวมถึงธนาคาร มีแนวโน้มที่จะขึ้นได้ดีกว่าตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
 

ประเมินการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.มีโอกาสหนุนให้เกิดการเลือกตั้งใหญ่ ชัยชนะของชัชชาติ (>50%) เหนือกว่าผู้สมัครรายอื่นอย่างชัดเจน ส่งสัญญาณว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง เราประเมินการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ มีโอกาสเกิดขึ้นในปีนี้ แม้คะแนนนิยมรัฐบาลถดถอย แต่การเปลี่ยนแปลงตัวผู้ว่ากทม. ทำให้กลไกการควบคุมฝูงชน และการห้ามการชุมนุมน่าจะทำได้ยากขึ้น (ส่งผลให้ระยะยาวรัฐบาลจะยิ่งเสียความนิยม) ขณะที่โมเมนตัมของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่ฟื้นตัวจะเป็นแรงส่งต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล สำหรับผลต่อบริษัทจดทะเบียนเราประเมินว่า 1) กลุ่มค้าปลีกอาจฟื้นตัวโดยมองข้ามงบไตรมาส 2/65 ที่ชะลอไปยังครึ่งปีหลัง 2) หุ้นกลุ่มรับงานภาครัฐ โดยเฉพาะรับเหมา อาจฟื้นตัวระยะสั้น แต่ระยะกลางเป็นลบความไม่แน่นอน ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐที่จะเกิดขึ้น และต้นทุนวัสดุที่เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใกล้เลือกตั้ง 3) BTS จะได้รับแรงกดดันจากอายุสัมปทานที่เหลือน้อย และแนวคิดของผู้ว่าคนใหม่ ที่ไม่สนับสนุนการต่อสัมปทาน

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO 4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART 5) กอง REIT ได้แก่ FTREIT, WHART 6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบกำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น 7) หุ้นกลุ่มเก็งราคาน้ำมันลง SCGP, BJC, EPG, SCC 8) หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน OR

ภาพรวมกลยุทธ์: ลุ้นขึ้นทดสอบ 1,630-1,640 จุด ยังคงกลยุทธ์เลือกเก็งกำไรระหว่างรอจุดซื้อที่ดี (ราคาอาหารขึ้น / ผลตอบแทนพันธบัตรปรับลง / หุ้นที่สามารถส่งผ่านต้นทุน)” โดยเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจำกัด downside risk ได้เป็นหลัก และใช้จังหวะปรับลดลงแรงในการทยอยซื้อหรือสะสมรายตัว เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่า ระวังแรงทำกำไรกลุ่มได้ประโยชน์จากบาทอ่อนในระยะสั้น //หุ้นแนะนำ:  CBG*, CK*, OR*, MAKRO*

แนวรับ: 1,605 / แนวต้าน : 1,630-1,640 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

 


 

ประเด็นการลงทุน

เงินทุนไหลออกจากกองทุนพันธบัตรโลกสัปดาห์ที่ผ่านมาสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน - ข้อมูลจากริฟินิทีฟ ลิปเปอร์ (Refinitiv Lipper) บ่งชี้ว่า นักลงทุนได้เทขายกองทุนพันธบัตรโลกเป็นมูลค่าสุทธิ 1.857 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นยอดเงินทุนไหลออกรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. 65

ยอดจองเที่ยวบินท่องเที่ยว-ธุรกิจทั่วโลกพุ่งทะลุระดับก่อนเกิดโควิด - รายงานของมาสเตอร์การ์ด อิโคโนมิกส์ อินสติติวท์ (Mastercard Economics Institute) บ่งชี้ว่า เที่ยวบินเพื่อการพักผ่อนและเพื่อธุรกิจพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งนับเป็นการพุ่งขึ้นครั้งแรกตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ไม่พลิก "โพลล์" หลังจาก "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" นั่งเก้าอี้ "ผู้ว่าฯกทม. คนที่ 17" ก.ต.ท.ผ่านเกณฑ์ห้าม investment company เสนอขายหุ้นต่อประชาชน - เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุน ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้สนใจ และประชาชนเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตและแนวทางการกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าวต่อไป

ตลท.ให้ KCC ใช้เกณฑ์ Cash Balance - เริ่ม 23 พ.ค. 65

คาดเข้า/ออก SET50 – คาดเข้า JMT, JMART, BLA /คาดออก RATCH, STGT, KCE

คาดเข้า/ออก SET100 – คาดเข้า SABUY, TIPH, JAS /คาดออก RS, TTA, MAJOR

 

ประเด็นติดตาม: 24 พ.ค. – US New Home Sales, US Services PMI , Fed Chair Powell Speaks, ECB President Lagarde Speaks / 25 พ.ค. - US Core Durable Goods Orders, FOMC Meeting Minutes / 26 พ.ค. – US GDP Q1, US Initial Jobless Claims, US Pending Home Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)