SCG รื้อแผนลงทุนครึ่งปีหลัง เร่ง 5 กลยุทธ์รับมือวิกฤติซ้อนวิกฤติ
เอสซีจี รัดเข็มขัดปรับแผนลงทุนครึ่งหลังปี 2565 เร่งใช้ 5 กลยุทธ์รับมือวิกฤติซ้อนวิกฤติ เน้นการลงทุนที่สร้างรายได้ทันทีและมีความสามารถในการทำกำไร ตั้งเป้าธุรกิจโตใกล้เคียงภาวะปกติ 10-15%
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า สถานการณ์ทั่วโลกยังมีความผันผวนและเป็นภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย ต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบเพิ่มสูง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) ซึ่งเอสซีจีได้เร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการพิจารณาการลงทุนอย่างเข้มงวด ชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน มุ่งโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนเร็ว และเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว ทั้งโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP ที่เวียดนาม และการลงทุนของ SCGP ในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ ในเพอเธ่ (Peute) ผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์
สำหรับผลกระกอบการในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 152,534 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด
โดยมีกำไรในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 เท่ากับ 9,937 ล้านบาท ลดลง 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน จากเงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรในครึ่งแรกของปี 2565 เท่ากับ 18,781 ล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจปิโตรเคมีได้รับอานิสงส์จากวิกฤติฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้กำลังการผลิตในตลาดโลกลดลง
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2565 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 66,789 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันธุรกิจมีปริมาณการขายลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2565 SCGC มีรายได้จากการขาย 135,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 7,292 ล้านบาท ลดลง 62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 52,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขายสินค้า ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาค ซึ่งได้ช่วยชดเชยกับความต้องการสินค้าที่ชะลอตัวลงและส่งผลกระทบกับยอดขายในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,668 ล้านบาท ลดลง 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ลดลง 28% จากไตรมาสก่อน
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2565 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 103,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,976 ล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
SCGP ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 37,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2565 SCGP มีรายได้จากการขาย 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการรวมผลการดำเนินงานของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab การปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปริมาณความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,514 ล้านบาท ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยเอสซีจีติดตามสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินกลยุทธ์ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. ลดต้นทุน เพิ่มพลังงานทางเลือก ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ลดของเสียจากการดำเนินงาน และเร่งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก อาทิ เชื้อเพลิงชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ โดยปัจจุบันเอสซีจีมีสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก 16.4%
2. พัฒนานวัตกรรม สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ ต่อเนื่อง ตลอดจนหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน นวัตกรรมเคมีภัณฑ์ อาทิ “พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น” (High Quality Odorless PCR) สำหรับบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกของสินค้าที่ต้องการเน้นกลิ่นหอมโดยเฉพาะ “สารเคลือบชั้นฟิล์มป้องกันการซึมผ่านของอากาศ” (Barrier Coating Technology) ช่วยทดแทนการใช้วัสดุที่หลากหลายของบรรจุภัณฑ์ ให้เหลือเพียงพลาสติกประเภทเดียวกันทั้งชิ้นงาน (Mono-Material) จึงรีไซเคิลได้ง่าย
นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดี เช่น “SCG HVAC Air Scrubber” ระบบบำบัดอากาศเสีย พร้อมลดภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ สำหรับอาคารขนาดใหญ่ ประหยัดค่าไฟได้ร้อยละ 20-30 “กระเบื้องยับยั้งแบคทีเรีย ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ไร้สัมผัส และสุขภัณฑ์เคลือบสาร Ultraclean+” จาก COTTO Health& Clean ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
นวัตกรรมการก่อสร้าง ภายใต้แบรนด์ “CPAC Green Solution” มุ่งใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับโซลูชันการก่อสร้างใหม่ๆ อาทิ Farm Solution บริการออกแบบและก่อสร้างฟาร์มครบวงจร เสร็จไว ได้มาตรฐานตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio Security) และ Gas Station Solution บริการออกแบบและก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันแบบครบวงจร
นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ อาทิ “เฟสท์ ชิลล์” บรรจุภัณฑ์อาหารทำจากกระดาษ เคลือบฟิล์มลอกออกได้ สะดวกต่อการรีไซเคิลและย่อยสลายได้ ดีไซน์แข็งแรงเหมาะกับการเดลิเวอรี
3. เพิ่มสภาพคล่องการเงิน ด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ให้อยู่ในระดับเหมาะสม บริหารปริมาณสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ติดตามการให้สินเชื่อการค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงเสริมสภาพคล่องโดยการดำเนินการออกหุ้นกู้ ในรูปแบบ หุ้นกู้ดิจิทัล ของ SCGP ในวันที่ 1 สิงหาคม 2565
4. คุมเข้มการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ทบทวนการลงทุน ชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน หรือใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะได้ผลตอบแทน มุ่งโครงการที่ได้ผลตอบแทนเร็ว และสอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ อาทิ โครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม มีความคืบหน้าตามแผนร้อยละ 96 พร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกของปี 2566
ล่าสุด SCGP ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Packaging Materials Recycling Business) ใน Peute Recycling B.V. ผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ และลงทุนใน Imprint Energy Inc. สหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแบตเตอรี่ที่ผลิตด้วยการพิมพ์ (Printed battery) มีศักยภาพในการเติบโต สามารถนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในสำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะได้ด้วย
5. เดินหน้า ESG ด้วยแนวทาง ESG 4 Plus มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส โดยในครึ่งปีแรกของปี 2565 มียอดขายนวัตกรรมรักษ์โลก ภายใต้ฉลาก SCG Green Choice เท่ากับ 153,240 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของยอดขายรวม โดยตั้งเป้าให้มีเพิ่มสัดส่วนเป็น 66-67% ในปี 2030