'เงินดิจิทัล 10,000 บาท' ทำได้จริงไหม? รวมลิสต์ความเห็นนักวิชาการหลายฝ่าย

'เงินดิจิทัล 10,000 บาท' ทำได้จริงไหม? รวมลิสต์ความเห็นนักวิชาการหลายฝ่าย

"เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ยังคงร้อนแรง นักวิชาการหลายฝ่ายหวั่นใจว่า นโยบาย "แจกเงิน" ของเพื่อไทยครั้งนี้อาจได้ไม่คุ้มเสีย ขณะที่บางคนเห็นด้วยว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง

ท่ามกลางความหวังที่รอคอยของคนไทยที่อยากจะใช้ "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ในเร็ววัน ในขณะที่ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยยังต้องการเวลาเพื่อดำเนินการหลายๆ อย่าง จึงตอบประชาชนได้เพียงกรอบเวลาคร่าวๆ ว่า เงินดิจิทัลจะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ภายในครึ่งปีแรกของปีหน้า ประมาณเดือนมกราคม - มิถุนายน 2567 โดยจะเร่งรัดให้ประชาชนได้ใช้ทันช่วงเทศกาลสงกรานต์ (เดือนเมษายน 2567) 

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านหนี้สาธารณะ และอีกหลากหลายฝ่าย ออกมาแสดงความเห็นต่อนโยบายดังกล่าวในเชิงหลักการและข้อกฎหมาย ในประเด็นที่ว่า นโยบาย "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" จะทำออกมาได้จริงหรือไม่? หากทำได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยแค่ไหน? กรุงเทพธุรกิจ รวบรวมนานาทัศนะจากนักวิชาการทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มาให้อ่านเปรียบเทียบเพื่อให้มองเห็นภาพรวมมากขึ้น ดังนี้

  • "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างไรในมุมเจ้าของนโยบาย

ขอเริ่มจากการอธิบายแนวคิดและประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ หากมีการดันโครงการ "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ของ "พรรคเพื่อไทย" ให้เกิดขึ้นจริง โดยทางเพื่อไทยมีการสื่อสารข้อมูลถึงประชาชนผ่านทางเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของพรรค และผ่านการแถลงข้อมูลโดยตรงจาก "ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล" รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

\'เงินดิจิทัล 10,000 บาท\' ทำได้จริงไหม? รวมลิสต์ความเห็นนักวิชาการหลายฝ่าย

โดยย้ำให้เห็นว่า "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" เป็นนโยบาย ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศทั้งในระยะสั้น คือ การเพิ่มเงินในระบบ, ระยะกลาง คือ วางมาตรการ และเงื่อนไขให้รัฐเก็บภาษีคืนได้ และระยะยาว คือ วางโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล 

พร้อมระบุด้วยว่า เงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นมาตรการเฉพาะหน้า เป็นรากฐานสำคัญเพื่อต่อยอดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็น 600 บาท/วัน เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มที่ 25,000 บาท/เดือน เพื่อยกสถานะความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

  • อธิการบดี ม.หอการค้าไทย มองว่า "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ทำได้จริง

ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า นโยบายนี้สามารถทำได้จริง และมีเงินเพียงพอ โดยเบื้องต้นทราบว่าวางวงเงินไว้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งที่มาของเงินก้อนนี้จะได้มาจากการวางโครงสร้างงบประมาณ 3 ล้านล้านบาท และใช้การขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท มาช่วยเสริม แต่อาจต้องชะลอโครงการบางโครงการออกไป 

ส่วนกรณีที่หลายคนเป็นห่วงว่าอาจจะกระทบกับการสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่าไม่น่าจะกระทบ เพราะสำนักงบประมาณ มีการวางกรอบการขาดดุลไว้ไม่เกิน 4% ซึ่งขณะนี้เพดานหนี้สาธารณะของไทย อยู่ที่ 60% แต่สามารถขยายได้ 70% ดังนั้นไม่ต้องกู้เพิ่ม อีกทั้งเชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ 2-3 รอบ คิดเป็นมูลค่า 1-1.5 ล้านล้านบาท โดยรัฐอาจออกแบบการใช้งานแบ่งเป็นเฟสละ 3,000 บาท เพื่อกระจายให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้มีเงินหมุนเวียนได้หลายรอบ 

  • อดีตกรรมการฯ หนี้สาธารณะ ชี้ "แจกเงินดิจิทัล" เพิ่มความเสี่ยงฐานะทางการคลัง

ในขณะที่นักวิชาการฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ เสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ทบทวนการดำเนินการ "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" อีกครั้ง เพราะอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี 

โดย รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง แสดงความคิดเห็นว่า เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลมีความล่าช้ามามากกว่า 3 เดือนแล้ว ทำให้รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญกับการเร่งรัดจัดทำงบประมาณปี 2567 การเบิกจ่ายต่างๆ จะล่าช้าไปประมาณ 5-6 เดือน ส่งผลลบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปีงบประมาณ 2567 เศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัวตามที่คาด และอาจไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย 

ยังไม่รวมถึงการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เพื่อพยุงราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงคลังสูญเสียรายได้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 158,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันยังมีหนี้อยู่อีก 70,000 กว่าล้านบาท หากรัฐบาลใหม่ยังคงเดินหน้าแจกเงิน Digital Wallet ให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปี มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มอย่างแน่นอน หากไม่ก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม ก็ต้องเก็บภาษีเพิ่ม หากเก็บภาษีเพิ่มเพื่อนำมาแจกจ่ายเงิน โดยทั่วไปก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกสำหรับการดำเนินนโยบายสาธารณะที่ควรจะเป็น 

หากเกิดกรณีที่รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มอีกมากกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินนโยบายแจกเงิน Digital Wallet งบประมาณจะขาดดุลมากกว่า 1.093 ล้านล้านบาท แม้การกู้เงินเพื่อทำงบขาดดุลเพิ่มอาจยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอยู่ แต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงฐานะทางการคลัง ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

\'เงินดิจิทัล 10,000 บาท\' ทำได้จริงไหม? รวมลิสต์ความเห็นนักวิชาการหลายฝ่าย

  • นักวิจัยการลงทุน ให้ความเห็นว่าทำได้ยาก ติดปัญหางบมาจากไหน?

ส่วนทางด้าน ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด สะท้อนมุมมองความเห็นผ่าน พีพีทีวี ว่า นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แม้จะมีข้อดีคือ เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบ เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงิน กระตุ้นจีดีพีของประเทศไทยกระเตื้องขึ้นได้ประมาณ 0.7% GDP แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะตัวงบประมาณที่ใช้อยู่ที่กว่า 5 แสนล้านบาท รัฐบาลจะนำงบก้อนนี้มาจากไหน 

หากไปดึงมาจากงบประมาณอื่นๆ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นก็หายไปเช่นกัน แล้วที่คาดกันว่าผลจะทวีคูณ 2-3 เท่า จะได้เงินกลับมา 2-3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคนั้น การคำนวณของนักเศรษฐกิจก็มองว่าอาจกระตุ้นได้ไม่ถึงขนาดนั้น ถัดมาคือเรื่องแพลตฟอร์มที่จะใช้แจกเงินให้กับ 50 ล้านคน ยังมีคำถามในเรื่องวิธีการใช้จ่ายว่า ตัวระบบจะรองรับความถี่ในการใช้งานได้แค่ไหน หากสแกนใช้จ่ายพร้อมกันสัก 10% ก็แตะ 7 ล้านคนเข้าไปแล้ว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการใช้จ่ายติดขัดหรือไม่? 

ในทิศทางเดียวกัน เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นโยบายแจก "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" อาจมีคำถามต่อแหล่งที่มาของเงินทุน เช่น ต้องปรับลดงบลงทุนภาครัฐ, ลดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจากภาระหนี้สาธารณะในปัจจุบัน รวมถึงปรับลดสวัสดิการที่ถูกมองว่าซ้ำซ้อน นอกจากนี้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม มีอีกหนึ่งแนวทางที่สามารถทำให้นโยบายเดินหน้าได้ นั่นคือ "กู้เงิน" โดยประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 61.15% (ข้อมูลล่าสุดเดือน มิ.ย.66) ซึ่งตามกรอบวินัยการคลังสามารถกู้เพิ่มได้จนกว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ระดับ 70% แต่โดยหลักการแล้วไม่ควรกู้จนเต็มเพดานหนี้ ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวยังต้องติดตามต่อระยะกลาง-ยาวว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ แต่ในระยะสั้นคาดว่าอาจทำให้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้

  • นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ แจกเงินดิจิทัล อาจทำให้ขาดดุลงบเพิ่มเติม

ขณะที่ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร แสดงความกังวลต่อการหางบประมาณสำหรับนโยบายดังกล่าวเช่นกัน โดยได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 24 ส.ค.66 ไว้ว่า ต้นทุนโครงการนี้มูลค่ากว่า 5.5 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 3% ของ GDP และกว่า 16% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ยากมากที่เราจะตัดงบประมาณ หรือขึ้นภาษีมาจ่ายโครงการนี้ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียก็อาจจะต้องมีการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม

ในขณะที่งบประมาณปีหน้าที่รัฐบาลชุดที่แล้วอนุมัติไว้ ก็พบว่ามีการขาดดุล 3% ของ GDP แล้ว แปลว่ามีช่องว่างให้ขาดดุลเพิ่มได้แค่อีกนิดเดียว และถ้าจะตัดงบก็ติดว่าตอนนี้ภาครัฐมีงบประจำสูงถึงเกือบ 80% ของวงเงินงบประมาณ จึงมองว่าคงจะตัดอะไรได้ไม่มากนัก

\'เงินดิจิทัล 10,000 บาท\' ทำได้จริงไหม? รวมลิสต์ความเห็นนักวิชาการหลายฝ่าย

  • นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ ม.นอตทิงแฮม ไม่เห็นด้วยกับการ "แจกเงินดิจิทัล" ชี้ อาจเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 

ส่วนทางด้าน ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ หรือ ดร.นุช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินการคลังและภาษี มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ ก็ได้สะท้อนความเห็นต่อประเด็น "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (ณ 28 ส.ค.66) ไว้ด้วยเช่นกันว่า การที่รัฐบาลแจกเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินธนบัตร เงินเข้าบัญชีธนาคาร/เข้าแอปฯ หรือเป็น "เงินดิจิทัล" ต่างก็ส่งผลกระทบต่อปริมาณเงิน อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ 

1. หากเงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้ถูกนำไปซื้อสินค้าและบริการ อุปสงค์ในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อุปทานและปัจจัยการผลิตเท่าเดิม นี่จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น หรือก็คือภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้ต้องยกระดับอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่อาจนำไปสู่วิกฤติศรษฐกิจ และหากมีการแจกเงินดิจิทัลอัดฉีดเข้าไปในระบบ โดยที่เงินนั้นไม่ได้เป็นเงินสะสมของภาครัฐ หรือได้จากการเก็บภาษีหรือการออกพันธบัตรระดมทุน ก็จะเท่ากับว่าเงินดิจิทัลนี้ก็คือการพิมพ์เงินเพิ่มเข้ามาในระบบนั่นเอง ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นในระบบทันที 11% ตามกลไกทางเศรษฐกิจ 

2. บางคนบอกว่า รัฐไม่ขาดดุลหรอก หนี้ไม่เยอะหรอก โดยหวังว่าเงินดิจิทัลที่ประชาชนเอาไปใช้จ่ายนี้ จะทำให้ธุรกิจมีรายได้ รัฐเก็บภาษีกลับมา แต่ต้องลองคิดก่อนว่า เงินดิจิทัลที่แจกไป แม้จะทำให้เกิดรายได้กับภาคธุรกิจ แต่ก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นไปด้วย (เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ) ธุรกิจอาจไม่ได้มีกำไรเพิ่มขึ้นเพื่อมาเสียภาษีให้รัฐได้เพิ่มขึ้น อย่าลืมว่าธุรกิจเสียภาษีบนกำไร ไม่ใช่เสียภาษีบนรายรับ ในขณะเดียวกัน เงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะทำให้รายได้ที่แท้จริง (รายได้หลังหักผลของอัตราเงินเฟ้อ) ลดลง นี่เป็นธรรมชาติของค่าจ้าง ที่จะไม่ปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ โดยทางเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า wage rigidity 

3. ในทางกลับกัน อาจเกิดกรณีที่การแจกเงินดิจิทัลไม่ได้ทำให้ประชาชนผู้ได้รับเงินดิจิทัลมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีการใช้จ่ายเท่าเดิม (โดยเงินที่ได้รับแจกจะกลายเป็นเงินช่วยสนับสนุนค่าครองชีพ และเลือกที่จะเอารายได้ส่วนที่เหลือไปเป็นเงินออมหรือชำระหนี้) เมื่อไม่มีการใช้จ่ายหมุนเวียนภายในประเทศเพิ่มขึ้น ธุรกิจต่างๆ ย่อมไม่ได้รับอานิสงส์ใดๆ จากมาตรการดังกล่าว ...นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์บางส่วนจากความเห็นของ ดร.นงนุช เท่านั้น

ขณะที่อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นักวิชาการหลายคนมองเห็นตรงกันคือ นโยบาย "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" อาจทำไม่ได้จริง! เพราะติดขัดกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ โดยล่าสุด แบงก์ชาติ ได้ตอบผ่านสื่อมวลชนมาแล้วว่า “เรื่องเงินดิจิทัล ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดของนโยบาย คงต้องขอดูความชัดเจนก่อน” เอาเป็นว่านโยบายนี้จะทำได้หรือทำไม่ได้ ประชาชนคนไทยคงต้องติดตามต่อกันอีกยาวๆ 

-------------------------------------------------

อ้างอิง : รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัยรศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ, ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย, ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์