ราคาน้ำมันพุ่งเกือบ 2% หวั่นคว่ำบาตรเพิ่มรัสเซีย-อิหร่าน
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดพุ่ง 1.27 ดอลลาร์ จากแรงกังวลว่าอาจมีการคว่ำบาตรผู้ส่งออกรายใหญ่ 'รัสเซีย-อิหร่าน' เพิ่มจนอุปทานตึงตัว และการลดดอกเบี้ยในยุโรป-สหรัฐ อาจหนุนความต้องการใช้น้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ (13 ธ.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า การคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐอาจช่วยหนุนความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 74.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. และเพิ่มขึ้น 5% ในสัปดาห์นี้ ส่วนน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 6% ในสัปดาห์นี้ และปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.
"ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นต่อรัสเซียและอิหร่าน แนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในตะวันออกกลาง และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์หน้า" นักวิเคราะห์จากริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอตส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานระบุ
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปตกลงที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งที่ 15 ในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียกับยูเครน โดยมุ่งเป้าไปที่กองเรือบรรทุกน้ำมันเงาของรัสเซีย (shadow tanker fleet) ขณะที่สหรัฐก็กำลังพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่า พวกเขาพร้อมที่จะกลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมดต่ออิหร่านหากจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ทางด้านข้อมูลจาก "จีน" ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยคาดว่าระดับการนำเข้าน้ำมันจะยังคงสูงต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 เนื่องจากโรงกลั่นเลือกที่จะเพิ่มการจัดหาน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดเนื่องจากมีราคาที่ถูกลง ขณะที่โรงกลั่นอิสระเร่งใช้โควตาการนำเข้าของพวกเขา
ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2568 เป็น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่คาดไว้ที่ 990,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนที่แล้ว โดยอ้างถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
การปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารในจีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอในจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
IEA คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินในปีหน้า เมื่อประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตน้ำมันประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยได้รับแรงผลักดันจากอาร์เจนตินา บราซิล แคนาดา กายอานา และสหรัฐ
ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสมาชิกของโอเปกวางแผนที่จะลดการส่งออกน้ำมันในต้นปีหน้า เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส มุ่งเน้นการควบคุมการผลิตให้เข้มงวดขึ้น
ราคาน้ำมันดิบที่อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกโอเปกขายให้กับจีนนั้น เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ทำให้ความสามารถในการขนส่งลดลงและเพิ่มต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และคาดว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่านด้วย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์หน้า และจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีหน้า หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินคาด
ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำนวน 4 คนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หากอัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงสามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการน้ำมัน