‘สหไทยเทอร์มินอล’ เจาะลูกค้าต่างชาติ
‘สหไทยเทอร์มินอล’ระดมทุน ขยายท่าเรือรับลูกค้าต่างชาติ
ธุรกิจขนส่งกำลังได้รับความนิยมในตลาดทุน ซึ่งเป็นผลจากการที่ไทยเป็นจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ โดยเฉพาะทางน้ำที่ถือว่ามีต้นทุนการขนส่งที่ถูกกว่าระบบการขนส่งอื่น โดยหนึ่งในผู้นำอย่าง สหไทย เทอร์มินอล มีความได้เปรียบ จากการเป็นท่าเรือเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในไทย จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในปีนี้ เสาวคุณ ครุจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหไทย เทอร์มินอล หรือ PORT มองว่าโอกาสการเติบโตของการขนส่งทางน้ำยังมีอยู่อีกมาก
“การขนส่งทางน้ำในอดีตไม่ได้รับความนิยมมากนักเมื่อเทียบกับการขนส่งทางบกแม้ว่าจะมีต้นทุนถูกกว่า ข้อมูลในอดีตพบว่า การขนส่งทางรถยนต์คิดเป็น 95% ขนส่งทางรถไฟ 4% และทางเรือไม่ถึง 1% แต่ปัจจุบันขนส่งทางเรือเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีสัดส่วนการขนส่งอยู่ที่ 10% สิ่งสำคัญต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้การขนส่งทางเรือได้รับความนิยมมากขึ้น”
ที่ผ่านมาการขนส่งทางน้ำคนไทยอาจจะไม่เห็นประโยชน์มากนักและมองว่าจะเกิดขึ้นได้ยากในไทย แต่ในวันนี้เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น และเชื่อว่าการมีท่าเรือใหม่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพื่อการแข่งขันกันเอง แต่เป็นการพัฒนาการขนส่งในประเทศให้มีต้นทุนต่ำลง
ปัจจุบัน ท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยามีทั้งสิ้น 5 ท่าที่ดำเนินการโดยเอกชน และท่าเรือเอกชนที่ใหญ่ที่สุดคือ สหไทย
จุดเริ่มต้นธุรกิจของสหไทย เกิดจากบริษัทแม่ที่ทำธุรกิจเหล็กม้วน ต้องขนส่งเหล็กและวัตถุดิบและการนำเข้าและส่งออกโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อลดต้นทุน หลังจากนั้นทางผู้ใหญ่เห็นโอกาสการพัฒนาขนส่งทางน้ำในไทย โดยเฉพาะการขนส่งด้วยเรือชายฝั่งภายในประเทศ ไปแหลมฉบังเพื่อต่อเรือขนาดใหญ่ส่งสินค้าออกต่างประเทศ
ปี 2552 บริษัทขอไลเซ่นส์บริหารท่าเรือภายใต้กรมศุลกากร ได้รับการอนุมัติและเริ่มดำเนินการในปี 2554 ทำให้บริษัทสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่จากต่างประเทศให้เข้ามาได้ นอกจากนี้ บริษัทขออนุญาตจัดตั้งท่าเรือจากกระทรวงคมนาคม โดยใบอนุญาตจะมีอายุ 10 ปี และสามารถต่ออายุได้ทุก 10 ปี โดยปัจจุบันบริษัทสามารถรองรับเรือจากต่างประเทศได้อยู่ที่ 3 ลำต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับการขนส่งจากสิงคโปร์ จีน มาเลเซีย เวียดนาม ซึ่งในสิ้นปีนี้ บริษัทจะรองรับเรือจากต่างประเทศได้ 5 ลำต่อสัปดาห์
ส่วนในประเทศนั้น บริษัทสามารถรองรับการขนตู้สินค้าได้ 18 ตู้ต่อชั่วโมง โดยรองรับการขนส่งสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ปัจจุบันมีสัดส่วนของการรองรับลูกค้าจากต่างประเทศ 30% และการขนส่งในประเทศ 70%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายการขยายการเติบโตไปในส่วนอื่นๆ ร่วมกันพันธมิตรด้วย โดยจัดตั้งบริษัท บางกอก บาร์จ เทอร์มินอล จำกัด (BBT) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์สำหรับเรือชายฝั่งหรือเรือบาร์จ (Barge) ซึ่งใช้ขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือ BBT และท่าเรือแหลมฉบัง โดยบริษัท ถือหุ้นใน BBT 51.00% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 49.00% ของทุนจดทะเบียนถือโดยบริษัท เอ็ม โอ แอล ไลนส์เนอร์ จำกัด รองรับลูกค้าของเอ็มโอแอลโดยเฉพาะ
รวมถึงการต่อยอดธุรกิจโดยจัดตั้ง บริษัทบางกอก บาร์จ เซอร์วิส จำกัด (BBS) ซึ่งดำเนินธุรกิจจัดหาบริการเรือบาร์จ สำหรับขนส่งสินค้าทางน้ำ และท่าเรือแหลมฉบัง โดยบริษัทถือหุ้นใน BBS 40.00% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 60.00 % ของทุนจดทะเบียนถือโดยบริษัท เซาธ์อีส เอเชีย
รวมถึง บริษัท บางกอก คอนเทนเนอร์ เดโป เซอร์วิส จำกัด (BCDS) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการจัดการ ล้างและซ่อมแซม ปรับปรุง ตู้คอนเทนเนอร์ โดยบริษัทถือหุ้นใน BCDS 100% เพื่อดูแลรักษาตู้เปล่า ตู้ที่ไม่มีการบรรจุสินค้า ดูแลรักษาและซ่อมแซมเพื่อให้ลูกค้าส่งสินค้าออกอีกที เพื่อขยายจำนวนตู้การส่งออก
กลยุทธ์การต่อยอดธุรกิจดังที่กล่าว ส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากท่าเทียบเรือ 85% คลังสินค้า 6% และธุรกิจนอกเหนือท่าเรือ 9%
จุดได้เปรียบของบริษัทเมื่อเทียบกับท่าเรืออื่น คือ การพัฒนาการของบริษัทรวดเร็ว ทั้งการบริการลูกค้า และบริการก่อนและหลังการขาย รวมถึงพัฒนาระบบไอที ตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริษัทสหไทยตั้งใจทำธุรกิจให้มีมาตรฐาน ทั้งระบบบัญชี ต้องใช้ผู้สอบบัญชี 1 ใน 5 รายใหญ่ที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นลูกค้าต่างชาติ ทำให้สหไทยสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้เร็ว โดยใช้เวลาเตรียมตัวไม่ถึง 1 ปี ซึ่งจากการสร้างมาตรฐานสากล ทำให้มีลูกค้าระดับโลก 2 รายมาเช่าโกดังของบริษัท ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติเพิ่มเติม
การเข้าระดมทุนครั้งนี้บริษัทวางแผนจะนำเงินที่ได้รับจากไอพีโอมาเพิ่มศักยภาพของบริษัท เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่มากขึ้น พร้อมทั้งแยกพื้นที่ลานบรรจุตู้สินค้าเพิ่มขึ้น ช่วยให้รองรับปริมาณตู้มากขึ้น และคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปีหน้า โดยจะรองรับได้ 1.8 หมื่นทียูต่อเดือน จากปัจจุบันที่ 1.4 หมื่นทียูต่อเดือน
แผนในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจท่าเรือจะเติบโต และทั้งกลุ่มบริษัทจะมีมูลค่าเพิ่ม และในอีก 5 ปีสหไทยจะไปโตในตลาดเพื่อนบ้าน หลังจากที่บุกเบิกการขนส่งทางน้ำในประเทศเป็นอันดับที่ 1ก็มีผู้สนใจดึงสหไทยไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในกัมพูชา เวียดนาม หรือ เมียนมา เป็นการร่วมทุนทำท่าเรือในประเทศ