“เอสซี” ไดเวอร์ซิฟายธุรกิจ รุกให้เช่าอพาร์ทเม้นท์สหรัฐ
‘เอสซี’ ไดเวอร์ซิฟาย สู่ธุรกิจให้เช่าอพาร์ทเมนท์ต่างประเทศ ประเดิมลงทุน 1,000 ล้านบาทซื้ออพาร์ทเม้นท์ บอสตัน ในอเมริกา หวังกระจายความเสี่ยง หลังประเมินปัจจัยความไม่แน่นอนปัจจัยใน-ต่างประเทศสูง
เนื่องจากธุรกิจเช่าอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐได้รับความนิยมสูงแทบทุกรัฐ จากนี้ยังมีแผนที่ลงทุน 30 ล้านดอลลาร์ต่อปีในการซื้ออพาร์ทเมนท์ในสหรัฐ คาดว่า จะถือครองไม่ต่ำกว่า 3 ปี จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 15-20% หากขายต่อเพื่อทำกำไร
นายณัฐพงศ์ ยังกล่าวถึงความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากดอกเบี้ยขาขึ้น สงครามทางการค้าที่ยืดเยื้อ แนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย และการเข้ามาของเทคโลยีสมัยใหม่ รวมทั้ง ความไม่แน่นอนในประเทศแม้อัตราเติบโตเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะเติบโต3.8-4.6% แต่เป็นการเติบโตแบบกระจุกตัวเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม
นอกจากนี้เซ็กเตอร์อสังหาฯยังกำลังจะมีมาตรการคุมเข้มสินเชื่อ (LTV-Loan to Value) ที่ส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อลดลง ทำให้ดีมานด์ลดลง และต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น เป็นความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องปรับตัว
อย่างไรก็ตาม 1 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับตัวจากการเป็นนักพัฒนาอสังหาฯสู่การเป็น ลิฟวิ่ง โซลูชั่น โพรวายเดอร์ ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรหลายรายเพื่อพัฒนา‘โฮม โซลูชั่น’ ครบวงจรให้กับผู้อยู่อาศัยตอบโจทย์การใช้ชีวิตดีขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตตามเป้าหมาย โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 15,616 ล้านบาท เติบโต 25% กำไรสุทธิ1,782 ล้านบาท เติบโต 42% พร้อมมียอดขาย 15,022 ล้านบาท
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า 5 ปีจากนี้ไป ทางบริษัทชูแนวคิด “NEXT is NOW” เพื่อทำนวัตกรรมในอนาคตสามารถเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ตอกย้ำความเป็นแบรนด์รู้ใจผู้อยู่อาศัย โดยมี3 เป้าหมายหลัก คือ1. สร้างการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิ 2,000 ล้านบาท ในปี 2562 และในปี2566 กำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท2. ยกระดับมาตรฐานคุณภาพ เอสซี แฟมิลี่ จาก 20,000 ครอบครัว เป็น 35,000 ครอบครัวในปี 2566 และ3. พัฒนานวัตกรรมสู่ที่อยู่อาศัยและบริการ ผ่านแพลตฟอร์มโซลูชัน ที่จับต้องได้
ในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 19,000 ล้านบาท เติบโต 22% แบ่งสัดส่วนแนวราบ-แนวสูง-เพื่อเช่า ในสัดส่วน 60-35-5 พร้อมกับเป้ายอดขาย 22,000 ล้านบาท เติบโต 46% มาจากโครงการเปิดขายทั้งหมดรวม 59 โครงการ
ขณะที่เป้าหมายรายได้ในปี 2566 อยู่ในระดับสูงกว่า 2 หมื่นล้นบาท กำไรสุทธิที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่กำไรของบริษัทจะยังมาจากการพัฒนาและขายที่อยู่อาศัย และยังมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring income) ที่จะอยู่ที่ 500-700 ล้านบาท ในปี 2566 โดยที่ในส่วนของรายได้ประจำ บริษัทจะเพิ่มธุรกิจใหม่ที่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาฯที่สร้างรายได้ประจำเข้ามาเพิ่ม นอกเหนือจากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมผลักดันธุรกิจดังกล่าว เพื่อเพิ่มรายได้ประจำสร้างความมั่งคงให้กับบริษัท