‘เอ็มทีเอสโกลด์’ปักธงบุกตลาดค้าทองคำในจีน

‘เอ็มทีเอสโกลด์’ปักธงบุกตลาดค้าทองคำในจีน

"เอ็มทีเอส โกลด์ ”ขอไลเซ่นส์ก.ล.ต.จีน เป็นโบรกเกอร์ซื้อขายสินค้าโภคภันฑ์อื่นๆเพิ่มเติม หลังได้รับไลเซ่นส์ซื้อขายทองในตลาดค้าทองเซี่ยงไฮ้  หรือSGE  คาดหนุนรายได้จากการซื้อขายทองคำเพิ่ม30%หรือแตะ 4แสนล้านบาทในปีนี้ 

นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร บริษัท MTS GOLD GROUP หรือ MTS (แม่ทองสุก) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดค้าทองเซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai Gold Exchange (SGE) โดยบริษัทได้รับสิทธิเป็นโบรกเกอร์ทองคำในการเข้าซื้อขายสินค้ากับตลาด SGE ทำให้บริษัทสามารถนำเข้าและส่งออกทองคำ, การทำเครื่องประดับทอง (Jewerly) และมีบริการซื้อขายทองคำ ได้อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ บริษัทได้รับใบอนุญาตสิ้นปี2561 ทั้งในสินค้าประเภท Physical และ Trading ร่วมกับสมาชิกกว่า 10 ประทศทั่วโลก ซึ่งSGE  เป็นหนึ่งในตลาดศูนย์ลางการซื้อขายทองรายใหญ่ระดับโลกที่ได้รับการจัดตั้งโดยธนาคารกลางจีน เพื่อให้มีการซื้อขายทองคำและบริการอื่นๆ ตั้งแต่ปี2545 จนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าตลาดซื้อขายทองคำขนาดใหญ่ได้รับความนิยมสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

บริษัทวางเป้าหมายมีรายได้จากการซื้อขายทองคำเพิ่มขึ้น 30% ในสิ้นปีนี้หรือมีมูลค่า 4แสนล้านบาท  จากปีก่อนมีมูลค่า3แสนล้านบาท ขณะเดียวกันในอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 30% หากสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐกับจีนยังยืดเยื้อ รวมถึงจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดฟิวเจอร์ทองคำ มีสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าในปีนี้เพิ่มขึ้น2เท่าตัวหรืออยู่ที่ 100ตันต่อเดือน จากปีก่อนอยู่ที่50-60ตันต่อเดือน โดยปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด40% 

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมต่อยอดเพื่อเพิ่มช่องทางสำหรับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆในตลาดจีน เช่น ซิลเวอร์ ยางพารา ทองแดง และน้ำมัน เป็นตัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีน เพื่อซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆในตลาดเมืองจีน โดยในช่วงแรกจะรุกสินค้ายาพาราก่อนซึ่งเป็นการให้บริการในลักษณะ Trading รวมถึงหากตลาดทองคำในอินเดียเปิดประเทศมากขึ้น บริษัทก็พร้อมจะเข้าไปขอไลเซ่นส์ขยายตลาดซื้อขายทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์เช่นเดียวกับในสหรัฐและจีน 

การขยายธุรกิจในครั้งนี้ บวกกับสิทธิการเป็นโบรกเกอร์ทองคำรายแรกของไทยในการเข้าถึงตลาดทองคำสหรัฐ COMEX จากก่อนหน้านี้ได้ทำการขยายตลาดซื้อขายทองคำในเอเชีย อย่างฮ่องกง และ สิงค์โปร รวมถึง อินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศCLMV จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้มากขึ้น สนับสนุนให้ไทยเป็นผู้นำในตลาดทองคำในเอเชียและอาเซียน จากปัจจุบันไทยเป็นอันดับ1ใน5ของตลาดทองคำอาเซียน

เขากล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ มองแนวต้านที่ระดับ 1,550-1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำในประเทศ 23,000 บาท ภายใต้ 2 ปัจจัยสำคัญ เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% และสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยังไม่ยุติ รวมถึงเงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวทองคำระยะสั้นอยู่ที่  1,480-1,510 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองในประเทศ 21,300-22,000 บาท โดยในจังหวะที่ราคาทองปรับตัวลงมาที่ 21,000 บาท มองว่า ยังเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสมได้อยู่ และยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะหากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ไม่ลดดอกเบี้ยตามคาด และการเจรจาสงครามการค้าจีนกับสหรัฐยุติลงได้ ราคาทองจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ