แบงก์เว้นดอกเบี้ย 'เบี้ยวหนี้' เริ่ม 1 พ.ค.นี้
'ธปท.' เผยแบงก์ยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เริ่ม 1พ.ค.นี้ โดยไม่ต้องแก้ไขสัญญา ส่วนการปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม มีผลบังคับใช้แล้ว
นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้สั่งการให้สถาบันการเงิน (สง.) ปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใน 3 เรื่อง เพื่อลดภาระของประชาชนนั้น
มีคำถามเข้ามาต่อเนื่องว่าเรื่องนี้เริ่มมีผลบังคับใช้หรือยัง จึงขอชี้แจงว่า ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด และค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.63
ในขณะที่ การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 พ.ค.63 เนื่องจากการปรับปรุงครั้งนี้ถือเป็นการปรับใหญ่ ตั้งแต่หลักคิดเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จากเดิมที่คำนวณจากฐานของยอดหนี้คงเหลือทั้งหมด มาคิดเฉพาะเงินต้นของงวดที่ค้างชำระและผิดนัดแล้วจริงๆ (ไม่รวมงวดในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง) อีกทั้ง การปรับในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับหลายระบบงานของ สง.
จึงต้องใช้เวลาในการปรับระบบงานให้รองรับ
อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ก่อนถึงวันที่ 1 พ.ค. 63 ถ้าหากมีการผิดนัดชำระหนี้ สง. สามารถพิจารณายกเว้นหรือผ่อนปรนดอกเบี้ยปรับผิดนัดชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ได้ตามสมควร หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินของแบงก์ชาติ โทร.1213
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ประชาชนถามเข้ามามากคือ ต้องไปแก้สัญญาหรือไม่เพื่อให้ได้รับสิทธิ จึงขอย้ำว่า ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปที่ สง. เพื่อทำการแก้ไขสัญญาใด ๆ เนื่องจากจะได้รับสิทธิต่าง ๆ โดยอัตโนมัติเมื่อหลักเกณฑ์ในแต่ละเรื่องเริ่มมีผลบังคับใช้ และ สง. จะมีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ลูกค้าทราบด้วย
การปรับปรุงครั้งนี้นอกจะทำให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นด้วยว่าระบบการธนาคารของไทยมีแนวปฏิบัติที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าการดำเนินธุรกิจของ สง.จะมั่นคงขึ้นในระยะยาว
ในระยะต่อไป ธปท. จะยกระดับงานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง สง. จะต้องนำหลักคิดใน 4 เรื่องดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้กับการกำหนดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสำหรับเรื่องอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ (1) ต้องสะท้อนต้นทุนจริงจากการให้บริการ (2) ต้องไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการจนเกินสมควรและคำนึงถึงความสามารถในการชำระของผู้ใช้บริการ (3) ต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน และ (4) ต้องเปิดเผยอัตราค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ธปท. ได้จัดให้มีการเปรียบเทียบข้อมูลอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของ สง. แต่ละรายเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้บริการและเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เหมาะสมมากขึ้น ตาม link นี้ https://www.1213.or.th/th/aboutfcc/Pages/productdisclosure.aspx
อนึ่ง การปรับปรุงดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 3 เรื่อง ที่ ธปท.ได้สั่งการไป มีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้
1. ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment charge) สำหรับสินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งเดิมผู้ประกอบการบางรายคิดค่าปรับจากฐานวงเงินสินเชื่อทั้งก้อน (รูปที่ 1)
เกณฑ์ใหม่ให้คิดค่าปรับบนยอดเงินต้นคงเหลือ รวมทั้ง ให้กำหนดช่วงระยะเวลาที่จะยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับการไถ่ถอน ความสำคัญของเรื่องนี้คือ ค่าปรับที่ไม่สูงจะช่วยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ประกอบการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดและช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบ รวมทั้งทำให้ตลาด refinancing เกิดขึ้นในประเทศไทย
2. ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด เดิมการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของเงินต้นคงเหลือ (รูปที่ 2)
เกณฑ์ใหม่ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนค่างวด (installment) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้นของค่างวดนั้น
นอกจากนี้ให้สถาบันการเงินกำหนดช่วงระยะเวลาการผ่อนผันไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (grace period) ในกรณีที่ลูกหนี้อาจมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และให้แจงรายละเอียดของยอดหนี้ค้างชำระ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าธรรมเนียมทวงถามหนี้ ให้ลูกหนี้ทราบอย่างชัดเจน
การปรับปรุงในครั้งนี้นอกจากจะทำให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะช่วยลดโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ (affordability risk)
3. ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร เดิมไม่มีการคืนส่วนต่างหรือคืนเมื่อร้องขอเท่านั้น (รูปที่ 3)
เกณฑ์ใหม่ให้คืนค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ และกรณีต้องออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน เดิมจะเรียกเก็บทุกกรณี เกณฑ์ใหม่ให้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน แต่หากกรณีที่ออกบัตรหรือรหัสทดแทนมีต้นทุนสูงอาจพิจารณาจัดเก็บได้ตามความเหมาะสม