‘กสิกร’ ชู 'K-SUPSTAR-SSFX' ทางเลือก ‘ออมหุ้น’ ระยะยาว
ดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ปรับลดลงมาแล้วราว 28% ซึ่งเป็นผลจากความกังวลของ “นักลงทุน” ที่มีต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19”
อย่างไรก็ตามดัชนีที่ปรับลดลงแรง ถือเป็น “โอกาส” ของนักลงทุนที่ต้องการใช้ “ตลาดหุ้น” เป็นแหล่ง “ออมเงินระยะยาว” โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาวแบบพิเศษ หรือ “กองทุนรวม SSFX”
กองทุนรวม SSFX มีความแตกต่างจากกองทุนรวมเพื่อการออกระยะยาวแบบปกติ หรือ “กองทุนรวม SSF” ตรงที่ ผู้ที่ลงทุนผ่าน “กองทุนรวม SSFX” จะได้สิทธิ์ในการหักลดหย่อนภาษีเพิ่มอีก 2 แสนบาท แต่จะต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ขณะที่เงื่อนไขอื่นจะเป็นไปตามเกณฑ์เดียวกับกองทุนรวม SSF คือ ต้องลงทุนระยะยาว 10 ปี จึงจะได้รับสิทธิ์ในการหักลดหย่อนภาษีสูงถึง 30% ดังนั้นแล้ว ผู้ที่หวังจะลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อการออมระยะยาว กองทุนประเภทนี้จึงตอบโจทย์ได้อย่างดี
“กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ” ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย บอกว่า ความกังวลที่มีต่อการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยลงมาแรง ทำให้ระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้น(P/E) โดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยลงมาค่อนข้างต่ำ อีกทั้งระดับของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ก็ถือเป็นระดับต่ำสุดรอบ 5 ปี จึงเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน
“ถ้ามองย้อนไปในช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้งปี 2540 วิกฤติซัพไพร์มปี 2551 หรือแม้แต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และวิกฤติการลดค่าเงินหยวนปี 2558 ทุกครั้งเมื่อผ่านพ้นวิกฤติมาได้ ดัชนีตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นไปทำนิวไฮรอบใหม่ ดังนั้นหากมองว่าหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิดดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปได้เหมือนในอดีต การลงทุนผ่านกองทุน SSFX ก็ถือเป็นจังหวะที่น่าสนใจ”
นอกจากนี้ หากดูสถิติตลาดหุ้นไทยย้อนหลังในอดีต ช่วง 10-15 ปี ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระดับ 8-10% ต่อปี อีกทั้ง บลจ.กสิกรไทย ประเมินว่า การลงทุนระยะสั้นก็ยังพอมีหุ้นบางกลุ่มที่ได้ประโยชน์หรือโดนผลกระทบน้อยจากวิกฤติโควิดด้วย เช่น กลุ่มสื่อสาร จากการปรับพฤติกรรมที่ต้องทำงานจากบ้าน(Work From Home) ซึ่งกระตุ้นยอดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารเพิ่มมากขึ้น
รวมไปถึงธุรกิจที่สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติโควิด เช่น หุ้นกลุ่มคอนซูเมอร์ ที่เริ่มปรับตัวหาช่องทางใหม่ๆ ในการขายสินค้าได้ต่อเนื่อง แต่กลุ่มที่โดนผลกระทบโดยตรง เช่น กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม สายการบิน กลุ่มเหล่านี้ก็อาจต้องหลีกเลี่ยง
กิตติคุณ บอกด้วยว่า อยากให้มองการลงทุนผ่านกองทุนรวม SSFX เหมือนกับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่การลงทุนผ่านกองทุนรวม SSFX จะมีระยะเวลาที่ยาวนานกว่า เพราะต้องลงทุนเป็นเวลา 10 ปี จึงสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้โดยไม่เสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้นผู้ที่จะลงทุนจึงต้องวางแผนการเงินให้ดี เงินที่นำมาลงทุนควรต้องเป็นเงินสำหรับการออมในระยะยาว เป็นเงินที่ไม่ได้นำไปใช้จ่ายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
สำหรับ บลจ.กสิกรไทย ได้เปิดขายกองทุนรวม SSFX เช่นกัน ใช้ชื่อกองทุนว่า กองทุนเปิดเค ซูเปอร์สตาร์ เพื่อการออมพิเศษ หรือ "K-SUPSTAR-SSFX" โดยเริ่มขายหน่วยลงทุนให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา และจะขายไปจนถึงวันที่ 10 เม.ย.2563
“กิตติคุณ” บอกว่า จุดเด่นของ กองทุน K SUPERSTAR SSFX มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% โดยเฉลี่ยตามรอบปีบัญชี โดยเน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดีที่มีศักยภาพ มีกระแสเงินสดที่มั่นคง (Defensive) และสามารถเติบโตได้แม้ในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว (Quality Growth) ผ่านกลยุทธ์การบริหารจัดการแบบ Tactical Trade ที่ผู้จัดการกองทุนจะคอยจับจังหวะซื้อขายหุ้น จึงสามารถทำกำไรได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยในระหว่างการถือครอง 10 ปีตามเงื่อนไขของกองทุนรวมเพื่อการออมนั้น กลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะทำให้กองทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ตามนโยบายจ่ายปันผลปีละไม่เกิน 4 ครั้ง ซึ่ง กองทุน K SUPERSTAR SSFX ได้ใช้กลยุทธ์บริหารจัดการกองทุนเหมือนกับกองทุน K-STAR-A(R) ที่เป็นกองทุนหุ้นซึ่งโดดเด่น ติดอันดับ 5 ดาว จาก Morningstar ในประเภท Overall Rating (ข้อมูล ณ วันที่ 23 มี.ค. 63) ซึ่งมีการจัดตั้งและผลการดำเนินงานมาแล้วกว่า 15 ปี