ความเปราะบาง 'SMEs' และมาตรการช่วยเหลือ
ความเปราะบางของ SMEs ไทยที่มีสัดส่วน 43% ของจีดีพี และเป็นแหล่งจ้างงานหลัก พบว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ SMEs ส่วนใหญ่มีฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ที่จำกัดเป็นทุนเดิม ซึ่งในสถานการณ์การแพร่บาดเช่นนี้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลืออะไรบ้าง
ปัจจุบันโลกเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง ภาครัฐในหลายประเทศจึงต้องเร่งให้ความช่วยเหลือ เนื่องจาก SMEs เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจ
สำหรับไทย SMEs มีสัดส่วน 43% ต่อ GDP และเป็นแหล่งจ้างงานหลัก โดยจำนวนกว่า 14 ล้านคน หรือ 85% ของแรงงานทั้งประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการค้าและบริการ
ข้อมูลงบการเงินของ SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลปี 2560 พบว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ SMEs ส่วนใหญ่มีฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ที่จำกัดเป็นทุนเดิม โดยมี 1.7 แสนรายที่ประสบภาวะขาดทุน คิดเป็น 1 ใน 3 ของ SMEs ทั้งหมด นอกจากนี้ SMEs มีกำไรจากการดำเนินงานที่น้อย เทียบกับรายจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่เกือบ 2 เท่า
โดย SMEs ในภาคการผลิตและภาคเกษตรที่มีความสามารถในการชำระหนี้ไม่ดีนัก จากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน โดยเฉพาะในรายที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าและการดำเนินงานได้ตามโลกที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ SMEs ในภาคเกษตรมีความเปราะบางมากที่สุด จากความผันผวนด้านราคาและผลผลิตทางการเกษตร ทำให้กำไรไม่เพียงพอในการชำระดอกเบี้ยจ่าย
เมื่อพิจารณากรณีธุรกิจต้องเผชิญการถดถอยของเศรษฐกิจอย่างกะทันหัน (shock) พบว่า 1.SMEs มีความสามารถในการรับ shock น้อย โดย SMEs ในภาคเกษตรไม่สามารถรับความเสี่ยงจากกำไรการดำเนินงานลดลงได้เลย ซึ่งเดิมก็ไม่เพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ยจ่ายอยู่แล้ว ขณะที่ภาคการผลิตและภาคบริการอื่นๆ สามารถรับความเสี่ยงได้น้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ประมาณ 2-3 เท่า
2.SMEs มีสภาพคล่องจำกัด โดยเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและสามารถใช้เพื่อจ่ายหนี้สินระยะสั้น ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น SMEs จะมีสายป่านในการดำเนินธุรกิจที่สั้นกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก
- ภาครัฐจำเป็นต้องช่วยเหลือเยียวยา SMEs อย่างเร่งด่วน
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบทั้งจาก 1.มาตรการจำกัดการเดินทางทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจบริการท่องเที่ยวและโรงแรม 2.มาตรการจำกัดการทำกิจกรรมต่างๆ ในเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้าและการผลิต บางธุรกิจต้องเลิกจ้างชั่วคราวหรือปิดกิจการ และ 3.การปิดเส้นทางขนส่งในบางประเทศทำให้ห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงัก (supply chain disruption) จึงถือได้ว่า COVID-19 คือมรสุมที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง
โดย SMEs ที่มีฐานะการเงิน ความสามารถการชำระหนี้ และสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว หากต้องปิดกิจการย่อมกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม และยากที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เล็งเห็นความจำเป็นที่ต้องเข้าช่วยเหลือเร่งด่วน เพื่อประคับประคองการดำเนินธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงาน ซึ่งดำเนินการผ่านการขอความร่วมมือสถาบันการเงิน
- มาตรการเยียวยา SMEs
เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2563 รัฐบาลและ ธปท.ได้ออกมาตรการตาม พ.ร.ก.การช่วยเหลือทางการเงินแก่ SMEs ได้แก่ 1.เลื่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนให้กับ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท และ 2.สินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน (soft loans) แก่ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี นาน 2 ปี วงเงินรวม 5 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ย 6 เดือนแรกให้ นอกจากนี้ มีการให้สินเชื่อใหม่ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ วงเงินรวม 3.96 แสนล้านบาท ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดภาระการชำระดอกเบี้ยและเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง
ทั้งนี้ ธปท.ขอความร่วมมือให้มีการหารือเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างสถาบันการเงินและลูกหนี้ในช่วง 6 เดือนนี้อีกด้วย
- หลัก “4 ร” สำหรับมาตรการช่วยเหลือในระยะข้างหน้า
การติดตามประเมินสถานการณ์เป็นระยะว่า COVID-19 จะมีผลกระทบรุนแรงแค่ไหนและมรสุมนี้จะอยู่กับเราไปอีกนานเพียงใด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อที่หากจำเป็น ภาครัฐและ ธปท.จะได้มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งจำเป็นต้องมีหลัก “4 ร” คือ
1.“รับฟัง” เสียงจากผู้ประกอบการเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการที่ออกมาเพิ่มเติมช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด 2.“รวดเร็ว” ในการออกมาตรการให้ทันต่อสถานการณ์
3.“รักษา” ความต่อเนื่องของมาตรการในช่วงที่ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบ เพราะไม่เช่นนั้น หากธุรกิจต้องล้มลง ภาคครัวเรือนจะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่จากการลดการจ้างงาน ที่สำคัญคือ 4.การ “ร่วมมือ” กันระหว่างภาครัฐ-เอกชน จะทำให้ทุกภาคส่วนสามารถอยู่รอดได้ในวิกฤติปัจจุบัน และเศรษฐกิจสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว
ธปท.ได้ขอความร่วมมือสถาบันการเงิน ดูแลลูกหนี้ที่เดือดร้อนจากวิกฤติ COVID-19 ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขอให้ประชาชนมั่นใจว่าหน่วยงานรัฐจะทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้
หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับมาตรการ สามารถติดต่อศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร.1213 ได้ นอกจากนี้ ธปท.ได้รวบรวมข้อมูลมาตรการช่วยเหลือล่าสุดของทุกสถาบันการเงินไว้ที่ www.bot.or.th/thai/financialinstitutions/covid19
[บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]