‘ภาษีมรดก’ ต้องศึกษา เงินที่ได้อาจกลายเป็นทุกข์
การวางแผนและทำความเข้าใจ "ภาษีมรดก" เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ให้ไว ก่อนที่จะสายไปและอาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับลูกหลานได้ในอนาคต
เมื่อมี 'วันเกิด' สัจธรรมชีวิตหนีไม่พ้น 'วันตาย' หรือวันที่เราลาจากโลกนี้ไป แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยได้เตรียมตัววางแผนในหลายเรื่องๆ โดยเฉพาะเรื่องของ “มรดก” ซึ่งนับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ที่ควรต้องศึกษา และเรียนรู้ไว้ โดยเฉพาะคนที่มีมูลค่ามรดกมากยิ่งต้องเรียนรู้เรื่องนี้ให้ไว เพราะถ้าไม่จัดการมรดกให้ดีก็อาจเกิดปัญหาในอนาคตได้
ไม่ใช่แค่เจ้าของมรดกเท่านั้นที่ต้องศึกษาไว้ แต่สำหรับผู้รับมรดกก็ควรศึกษาด้วยเช่นกัน เพราะประเทศไทยมีกฎหมาย “ภาษีมรดก” ที่อาจจะก่อกวนใจผู้ที่ได้รับมรดก ทรัพย์สินที่ได้อาจจะกลายเป็นทุกข์ ทำให้กุมขมับในภายภาคหน้า
- ภาษีมรดกในประเทศไทย
คำว่า ‘มรดก’ ในภาษากฎหมายนั้นหมายความว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้น ย่อมตกทอดแก่ทายาททันที ทั้งนี้มรดกไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่างๆ ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ข้อกฎหมายยังระบุว่า ทายาทที่สามารถรับมรดกได้นั้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
- ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ตามลําดับที่กฎหมายกําหนดไว้
- ทายาทโดยพินัยกรรม ได้แก่ ผู้รับพินัยกรรม
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่รู้ว่าอำนาจและมรดกของผู้ตายตกที่ใคร สิ่งที่ต้องจัดการเป็นลำดับต่อมาคือ การชำระ “ภาษีมรดก”
ภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย ผู้รับมรดกจากเจ้ามรดก แต่ละรายได้รับมรดกสุทธิมาในคราวเดียวหรือหลายคราว รวมกันแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาษีการรับมรดก มีหลากหลายข้อ ได้แก่
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 มรดก มาตรา 1599 - มาตรา 1755
- พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558
- พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558
- พระราชกฤษฎีกา กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการผ่อนชำระภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2559
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดก ได้แก่ ผู้ได้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละราย ไม่ว่าจะได้รับมาในคราวเดียวหรือหลายคราว ถ้ามรดกที่ได้รับมาจากเจ้ามรดกแต่ละรายรวมกันมีมูลค่าของทรัพย์สินทั้งสิ้นที่ได้รับเป็นมรดก หักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดกเกิน 100 ล้านบาท โดยต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทในอัตรา 10%
- ภาษีมรดกในต่างแดน
หลายประเทศทั่วโลก มีการจัดเก็บภาษีมรดกอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเทศในยุโรป ที่ล้วนแล้วแต่มีกฎหมายภาษีมรดกบังคับใช้มานานหลายสิบปี ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งมีการบังคับใช้ในปี 2559 ที่ผ่านมา
การจัดเก็บภาษีมรดกในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- การจัดเก็บภาษีจากกองมรดก หรือ Estate tax ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีจากกองทรัพย์สินของผู้ตาย
- ภาษีการรับมรดก หรือ Inheritance tax ซึ่งเป็นการเก็บภาษีกับผู้ได้รับกองทรัพย์สินของผู้ตาย
นอกจากนี้ ก็ยังมีภาษีอีก 1 ประเภท ที่มีการจัดเก็บเช่นเดียวกัน นั่นคือ ภาษีการให้ หรือ gift tax ซึ่งบางประเทศจะจัดเก็บควบคู่ไปกับการเก็บภาษีมรดกด้วย โดย "ภาษีการให้" จะเรียกเก็บจากทรัพย์สินที่ผู้ตายให้แก่ผู้อื่นก่อนตาย ซึ่งโดยทั่วไปนั้นจะเรียกเก็บจากทรัพย์สินที่ผู้ตายให้แก่ผู้อื่นก่อนตายเป็นเวลาประมาณ 5-7 ปี
สำหรับประเทศที่มาการเก็บภาษีมรดกในอัตราสูงคือ
- ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรียกเก็บร้อยละ 55
- ประเทศญี่ปุ่น เรียกเก็บร้อยละ 50
- ประเทศฝรั่งเศส เรียกเก็บร้อยละ 40
ทั้งนี้เงื่อนไขของการเก็บภาษีจะแตกต่างกันออกไป ในขณะเดียวกันประเทศสิงคโปร์ ก็มีการยกเลิกภาษีมรดกเพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ รวมถึงประเทศออสเตรเลีย ก็มีการยกเลิกเช่นกัน เพราะเหตุจากการหลีกเลี่ยงการจัดเก็บภาษีมรดก ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเรียกเก็บภาษีมรดกไม่คุ้มค่ากับภาษีที่เรียกเก็บได้
- วางแผนมรดกอย่างไรให้อุ่นใจทั้งครอบครัว
ความตายอยู่ใกล้ตัวเพียงชั่ววูบ ดังนั้นการเตรียมตัววางแผนสำหรับเหล่าไม้ใกล้ฝั่งโดยเฉพาะคนที่มีมรดกจำนวนมาก จึงต้องวางแผนและจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำ 4 ขั้นตอนวางแผนมรดกเพื่อลูกหลานคือ
1. ทำบัญชีทรัพย์สินอยู่เสมอ
เพื่อให้ทราบถึงสถานะทางการเงินของตัวเราเองว่า มีทรัพย์สินอะไรบ้าง เป็นมูลค่า เท่าไหร่ พร้อมทั้งวางแผนจัดสรรว่า ส่วนใดที่จะนำไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิตและส่วนใด ที่จะต้องนำไปวางแผนมรดกเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง โดยทรัพย์สินที่จะต้องเสียภาษีมรดก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ยานพาหนะ หลักทรัพย์ตามกฎหมาย เงินฝาก และทรัพย์สินทางการเงิน
2. ศึกษากฎหมายภาษีมรดก
ศึกษากฎหมายภาษีมรดกและภาษีจากการให้ เพื่อวางแผนให้เกิดประโยชน์ในการให้มรดกอย่างสูงสุด
3. วางแผนการมอบมรดก
โดยการทยอยส่งมอบทรัพย์สินในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมและไม่ทำให้เสียภาษีมากจนเกินไป เช่น มีมรดก 40 ล้านบาทและทายาท 1 คน ก็สามารถทยอยมอบให้ปีละ 20 ล้านบาทจำนวน 2 ปี ก็จะไม่เสียภาษีจากส่วนเกินมูลค่าทรัพย์สินที่จะให้เป็นมรดก ทั้งนี้ ในการวางแผนมรดกควรพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ ไม่ควรให้มรดกชิ้นเดียวกันกับทายาทหลายๆ คนเพราะอาจจะเกิดปัญหาระหว่างทายาทตามมาได้ รวมทั้งไม่ควรรีบมอบมรดกเพราะกลัวการจ่ายภาษีจนเราเกิดความลำบากเมื่อทรัพย์สินถูกแจกจ่ายไปแล้ว
4. เลือกส่งต่อมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
หากมีมรดกจำนวนมากและไม่สามารถทยอยมอบให้ในเร็ววันได้ ก็ควรเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียภาษีมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การทำประกันชีวิตเพื่อรับสินไหมมรณกรรม โดยระบุผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์เป็นทายาทที่เราต้องการมอบทรัพย์สินก้อนสุดท้ายไว้ให้
อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีและเรียกเก็บภาษีให้ครบถ้วน พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม หากเราไม่เสียภาษีตามกำหนด อธิบดีกรมสรรพากรก็จะมีอำนาจสั่งยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์มรดกได้ โดยไม่ต้องร้องต่อศาล ดังนั้น จึงควรวางแผนภาษีมรดกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และอย่าลืมว่าการ “หลีกเลี่ยงภาษีการรับมรดก ถือเป็นความผิดอาญา”
----------------------
อ้างอิง : set.or.th , rd.go.th , forbesthailand.com