ดับบลิวทีโอ คาดการณ์ปี 64 การค้าสินค้าโลกฟื้นตัว 8 %

ดับบลิวทีโอ คาดการณ์ปี 64 การค้าสินค้าโลกฟื้นตัว 8 %

ทูตไทยประจำดับบลิวทีโอ เผย  วัคซีนโควิด-19 ช่วยการค้าโลกฟื้นตัว  คาดการส่งออกกลุ่มประเทศเอเชียขยายตัว 8.4 % หนุนนโยบายพาณิชย์ “มินิเอฟทีเอ”มาถูกทางรองรับการฟื้นตัวการค้าและส่งออก

นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก  เปิดเผยว่า  องค์การการค้าโลกหรือ ดับบลิวทีโอ (WTO )ได้คาดการณ์การค้าโลกล่าสุดว่า การค้าสินค้าโลกจะขยายตัวที่ 8 % ในปี 2564 แต่จะขยายตัวที่ 4 %ในปี 2565 โดยการค้าโลกที่ขยายตัวในปีนี้เป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากกลางปี 2563 ที่รวมทั้งปีแล้วติดลบ 5.3%  ซึ่งการค้าโลกได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 การฟื้นตัวในแต่ละภูมิภาคที่ไม่เท่ากัน ภาคบริการที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก และการฉีดวัคซีนในประเทศต่าง ๆ ที่ไม่พร้อมกัน

นอกจากนี้แล้ว ดับบลิวทีโอ  ยังคาดการณ์ว่า จีดีพี โลกจะขยายตัวที่ 5.1% ในปี 2564 และ 3.8 % ในปี 2565 ราคาน้ำมันที่หดตัวทำให้การค้าสินค้าพลังงานหดตัวถึง 35 % ในปี 2564 และการค้าบริการหดตัว 63 % ในปี 2564 เช่นกันโดยยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเร็วเนื่องจากโรคโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการใหญ่ที่สุดคือ การท่องเที่ยว การขนส่ง ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง

ปัจจัยสำคัญในระยะสั้นคือ การเข้าถึงวัคซีนของประเทศต่าง ๆ การผลิตและการกระจายวัคซีน และการระบาดระลอกใหม่หรือการมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจาย ส่วนปัจจัยที่น่ากังวลในระยะกลางและระยะยาวคือ หนี้สาธารณะ และนโยบายงบประมาณขาดดุลของหลายประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการค้าโลกในช่วงต่อไปได้ โดยหากมีการผลิตวัคซีนที่เพียงพอและประเทศต่าง ๆ เข้าถึงวัคซีนได้เร็วก็จะเพิ่มการเติบโตของจีดีพี โลกได้ 1 % และการค้าสินค้าโลกขยายตัวเพิ่มได้ถึง 2.5% และอาจทำให้ปริมาณการค้าโลกกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดได้ในช่วงปลายปี 2564 แต่หากวัคซีนไม่มีพอก็คงจะยังไม่ฟื้นตัวได้ดี

  161762081746               

ภาพรวมของปี 2563 การค้าสินค้าโลกหดตัว 5.3% ซึ่งน้อยกว่าที่ ดับบลิวทีโอ  คาดการณ์ไว้ โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในปลายปีจากความสำเร็จของการผลิตวัคซีนที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค ประกอบกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ มีนโยบายแทรกแซงและพยุงตลาด เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มาตรการเหล่านี้ช่วยเพิ่มรายได้ครัวเรือนและสนับสนุนการใช้จ่ายและการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ   

อย่างไรก็ตามในปี 64 การค้าโลกจะมีส่วนขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่น่าจะสร้างอุปสงค์การนำเข้า 11.4% ของโลก ยุโรปและอเมริการใต้น่าจะมีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ส่วนประเทศที่น่าจะส่งออกได้ดีจะเป็นประเทศในเอเชีย โดยคาดว่าการส่งออกของประเทศกลุ่มนี้จะขยายตัวที่ 8.4% ส่วนการส่งออกของยุโรป และอเมริกาเหนือจะขยายตัวที่ 8.3% และ 7.7% ตามลำดับ สำหรับประเทศอาฟริกาและตะวันออกกลางการส่งออกจะอิงอยู่ที่การขยายตัวของการท่องเที่ยวโลกและการผลิตต่าง ๆ ที่จะทำให้อุปสงค์การบริโภคน้ำมันและแร่ธาตุเพิ่มขึ้น

นางพิมพ์ชนก กล่าวว่า การค้าโลกและการส่งออกในปี 2564 นี้น่าจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะหากมีวัคซีนกระจายให้ประเทศต่าง ๆ ฉีดให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึงรวดเร็ว ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวด้วย ทั้งนี้ ประเทศในเอเชียที่บริหารจัดการโควิด-19 ได้ดี อยู่ในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมากเพราะสามารถผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของประเทศต่าง ๆ ได้ รวมทั้งมีเครื่องจักรเศรษฐกิจใหญ่เช่นจีนที่มีการนำเข้าและการผลิตมาช่วยหมุนการค้าในภูมิภาคด้วย ส่วนตลาดส่งออกสำคัญก็ยังน่าจะเป็นตลาดอเมริกาเหนือและตลาดเอเชียด้วยกัน ดังนั้นโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศสมาชิก RCEP และการจัดทำ Mini-FTA กับมณฑลไห่หนานของจีน และจะเพิ่มเติมกับแคว้น จังหวัดในเกาหลีและอินเดียต่อไป ถือว่าเป็นนโยบายที่จะรองรับการฟื้นตัวของการค้าและการส่งออกโลกได้อย่างตรงเป้าหมายในปี 2564 นี้

สำหรับอันดับของประเทศไทยในหมู่ประเทศส่งออกและนำเข้าว่า ปี 2563 ไทยเป็นผู้ส่งออกลำดับที่ 25 ของโลก มีสัดส่วนการส่งออกที่ 1.3% คิดเป็นมูลค่า 231 พันล้านเดอลลาร์ โดยการส่งออกหดตัว 6% และเป็นผู้นำเข้าอันดับที่ 25 ของโลกเช่นกัน มีสัดส่วนการนำเข้าที่ 1.2% คิดเป็นมูลค่า 207 พันล้านดอลลาร์ โดยการนำเข้าหดตัว 12 %  ส่วนประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1-3 ของโลก ได้แก่ จีน สัดส่วน 14.7%  มูลค่า 2,591 พันล้านดอลลาร์ สัดส่วนส่งออกที่  8.1% % มูลค่า 1,432 พันล้านดอลลาร์ และเยอรมนี 7.8%  มูลค่า 1,380 พันล้านดอลลาร์  ผู้ส่งออกในกลุ่มอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย  และไทย