TU ครึ่งปีหลังรุกธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง-มูลค่าเพิ่ม ดันรายได้โต 3-5%
"ไทยยูเนี่ยน" คงเป้ารายได้ปีนี้โต 3-5% ครึ่งปีหลังลุยออกสินค้าใหม่นวัตกรรม ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและมูลค่าเพิ่ม พร้อมทุ่มงบลงทุน 6.5 พันล้าน คาดเปิดโรงงานผลิตน้ำมันปลาและปลาทูน่า -ผงกระดูกปลาทูน่าปลายปีนี้ หนุนรายได้ปีหน้าโต
นางสาวเกวลี ทองสมอางค์ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้ เติบโต 3-5% และอัตรากำไรขั้นต้น 17% โดยในปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้ยังจาก 3 ธุรกิจหลักก่อน คือ ธุรกิจอาหารทะเลแช่แช็ง ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจมูลค่าเพิ่ม โดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจมูลค่าเพิ่ม จะมีแนวโน้มสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นตามความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มเห็นแล้วในไตรมาส 1 ปีนี้
ขณะที่ธุรกิจใหม่นวัตกรรมจะมีเริ่มมีรายได้เข้ามาชัดเจนในปีหน้า หลังจากคาดว่า ปีนี้จะเริ่มเปิดโรงงานผลิตน้ำมันปลาและปลาทูน่า หรือผงกระดูกปลาทูน่า ขณะที่บริษัทยังรักษาระดับการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17-18%
ด้านงบลงทุนปีนี้วางไว้ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่มีผลกระทบโควิด-19ทำให้เลื่อนงบลงทุนบางส่วนมาใช้ในปีนี้ โดยปีปกติจะใช้งบลงทุนระดับ 5,000-5,500 ล้านบาท สำหรับการลงทุนก่อสร้าง 3 โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงงานที่ได้ดำเนินงานมาก่อนหน้านี้ ,โรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเซตและคอลลาเจนเปปไทด์ ที่สมุทรสาคร และห้องเย็นที่การ์นา
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1ปี2564 บริษัทมีกำไร 1,803 ล้านบาท เติบโต 77.8% และรายได้ 31,125ล้านบาท เติบโต0.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมียอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรูป ลดลง 13% ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็ง เติบโต 10% และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและมูลค่าเพิ่ม เติบโต 21%
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นางสาวเกวลิน กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งในส่วนของสินค้านวัตกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์จากโรงงานสกัดทูน่าออยล์และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม แคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า ซึ่งมาเสริมสร้างการเติบโตร่วมกับธุรกิจหลัก
ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม จะมีการออกผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงและผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคในการซื้ออาหารสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะเห็นการเติบโตที่สูงกว่า 2 ธุรกิจหลัก หรือมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปีนี้ เติบโต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส2 ปีนี้ คาดว่ายังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปีนี้ได้ โดยในช่วง 2 เดือน หรือ เดือนเม.ย.และ พ.ค.ที่ผ่านมานี้ ยังเห็นการเติบโตแข็งแกร่ง ในลักษณะของธุรกิจอาหารแช่แข็ง เริ่มมีการฟื้นตัว จากปีก่อนในต่างประเทศโดนล็อกดาวน์ ธุรกิจอาหาสัตว์เลี้ยงและมูลค่าเพิ่ม ยังเติบโตต่อเนื่องตามความต้องการเพิ่มขึ้น ส่วนอาหารทะเลแปรรูป ปีนี้อาจชะลอตัวจากการกักตุนสินค้าก่อนล็อกดาวน์ปีก่อนไปแล้ว
ขณะเดียวกันแม้จะมีการแพร่ระบาดโควิดระลอก 3 แต่บริษัทได้มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการมาแล้วในระลอก 2 ทำสามารถบริหารจัดการในช่วงวิกฤติมาได้ โดยแต่ละโรงงานยังสามารถดำเนินการได้ควบคู่กับการระมัดระวังคัดกรองคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด
พร้อมกันนี้ บริษัทเดินหน้าแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจหลักในช่วง 2563 -2565 โดยในปีนี้เริ่มปรับปรุงกระบวนการผลิตในยุโรป เพิ่มกำลังการผลิต ลดต้นทุนขยายฐานลูกค้า รวมถึงมุ่งเน้นธุรกจิที่มีอัตรากำไรสูง ในปีนี้ได้เริ่มดำเนินงานในโรงงานผลิตผงแคลเซียมจากกระดูปลาทูน่า ที่สงขลา , โรงกลั่นน้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ ที่เยอรมันนี และธุรกิจโปรตีนจากพืช เริ่มรับจ้างผลิต ในไทย ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างก่อตั้งโรงงานโปรตีนไฮโดรเจนไลเซตและคอลลาเจนเปปไทด์ คาดว่าจะเสร็จปลายปี2565
ทั้งนี้ ภายใต้แผนดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าหมายในปี 2565 มี 10% รายได้มาจากธุรกิจนวัตกรรมมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% พร้อมมุ่งเน้นการลดต้นทุนเฉลี่ย 3% ต่อปี