สแกน"หุ้นโรงพยาบาล"งบปัง - ต่างชาติคัมแบ็ค
ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการประจำงวดไตรมาส 3 ปี 2564 ประเดิมด้วย “กลุ่มแบงก์” ที่ภาพรวมถือว่ายังทำผลงานได้ดี ตามการขยายตัวของสินเชื่อ และการตั้งสำรองที่ลดลง
แต่ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายธุรกิจที่ถูกพิษโควิดเล่นงานสาหัส หลังพบการระบาดรอบใหม่ของเชื้อสายพันธุ์เดลตาทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องงัดยาแรงออกมาใช้อีกครั้ง ทั้งการประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้าน หลายๆ กิจการถูกปิด จนกิจกรรมทางเศรษฐกิจแทบหยุดชะงัก
อย่างไรก็ตาม “โรงพยาบาล” เป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโควิด โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดพีคของโควิดเมืองไทย หลังมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นหลายหมื่นคนต่อวัน จนโรงพยาบาลรับไม่ไหว แพทย์ พยาบาล ต้องทำงานกันอย่างหนักแทบไม่ได้หยุดพัก ขณะที่เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ไม่เพียงพอ
สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล ไตรมาส 3 ของทุกปี ถือเป็นช่วงไฮซีซันอยู่แล้ว เนื่องจากเข้าฤดูฝน อากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้คนป่วยกันเยอะ และมักจะเกิดโรคระบาดที่มาพร้อมกับหน้าฝน ส่วนปีนี้ยังมีรายได้จากโควิดเข้ามาเสริม ทั้งการตรวจหาเชื้อและรักษาผู้ป่วย
ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้เติบโตโดดเด่น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่เพิ่งจะเริ่มเกิดการระบาดรอบใหม่ และช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งฐานค่อนข้างต่ำ หลังขณะนั้นสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปี 2564 จะขยายตัว 11.8% เทียบกับปี 2563 ที่ติดลบ 12.5% โดยเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำและรายได้จากการรักษาผู้ป่วยโควิดในประเทศ ส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติมองว่ายังทรงตัว แม้จะเริ่มเปิดประเทศในไตรมาส 4 นี้ แต่คงจะค่อยๆ ทยอยเข้ามา
สแกนหุ้นดาวเด่นกลุ่มโรงพยาบาล ดูแล้วมีหลายตัวที่ยังน่าสนใจ ทั้งบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการโควิดมากที่สุดในกลุ่ม การันตีได้เลยว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ทำนิวไฮทุบสถิติใหม่อีกครั้งแน่นอน หลังจำนวนเตียงรักษาผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลเต็ม 100% ส่วนฮอสพิเทลที่จับมือกับพันธมิตรมีอัตราครองเตียงราวๆ 50%
ขณะที่ราคาหุ้นถูกขายทำกำไรปรับตัวลงมาเยอะจากจุดสูงสุดเดิมเมื่อช่วงปลายเดือนก.ค. ที่ 26.75 บาท เนื่องจากตลาดเริ่มมองว่าจุดพีคได้ผ่านไปแล้ว หลังจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเริ่มลดลง
ทั้งนี้ แม้ว่าผลประกอบการโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 ปี 2564 จะชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนยังโตเด่น หลังคาดว่าจะเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือก “โมเดอร์นา” ได้ในเดือนพ.ย.นี้ และเมื่อเปิดประเทศผู้ป่วยต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามา ขณะที่แนวโน้มผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มขึ้น
ส่วนบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG น่าจะได้เห็นกำไรไตรมาส 3 ทำออลไทม์ไฮเช่นกัน กูรูทุกสำนักฟันธงโกยเงินเข้ากระเป๋าทะลุ 1 พันล้านบาทแน่นอน โดยรายได้จากบริการโควิดยังโตต่อเนื่อง หลังมีผู้เข้ารับบริการตรวจหาเชื้อเฉลี่ย 1,200-1,300 คนต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสก่อนอยู่ที่ 800-1,000 คนต่อวัน ขณะที่อัตราครองเตียงผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลสูงถึง 95% และในฮอสพิเทลอยู่ที่ 75%
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4 จะมีรายได้จากการฉีดวัคซีนทางเลือก และการเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลสิรินธร, โรงพยาบาลสมุทรปราการ และโรงพยาบาลระยอง เข้ามาชดเชยรายได้โควิดที่ลดลง
ด้านพี่ใหญ่ประจำกลุ่ม บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS โมเมนตัมเริ่มสดใสอีกครั้ง โดยจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศมากที่สุดในกลุ่ม เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาด BDMS มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติมากถึง 30% ของรายได้จากการรักษาพยาบาลทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่มีความซับซ้อนสูง เช่น โรคหัวใจ สมอง มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งค่ารักษาและมาร์จินค่อนข้างสูง
ดูแล้ว BDMS เหมาะกับการลงทุนในระยะที่ยาวกว่าเมื่อเทียบกับ BCH และ CHG จากแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 ที่จะฟื้นตัวแรง ขณะที่ราคาหุ้นค่อนข้าง Laggard เมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ ทำให้ยังมีอัพไซด์ที่น่าสนใจ