IRPC ทุ่ม 4.3 หมื่นล้าน แบ่งลงทุน ‘ธุรกิจใหม่’ สร้างอนาคต 35-40%
IRPC เดินหน้าขยาย “กลุ่มธุรกิจใหม่” รับกระแสเมกะเทรนด์-การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ทั้ง "ร่วมทุน-ควบรวมกิจการ จ่อปิด 1 ดีล ไตรมาส 1/65 พร้อมทุ่มงบลงทุน 5 ปี 4.3 หมื่นล้าน แบ่งลงทุนธุรกิจใหม่ 35-40% สัดส่วน EBITDA ปี 73แตะ 50% จากเป้า 3 หมื่นล้าน
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าขยายลงทุนในกลุ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานรูปแบบใหม่ อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกธุรกิจเดิมของบริษัท แต่เป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแสการเติบโตหลักของโลก (Mega Trend) อาทิ ธุรกิจโภชนาการ (Nutrition) หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจเป้าหมายของประเทศตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ภายหลังทั่วโลกมีแนวโน้มใช้พลังงานฟอสซิลลดลง และหันมาใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายสัดส่วนกำไรสุทธิภายหลังหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) ของกลุ่มธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้นแตะ 1 ใน 3 หรือราว 30% ภายในปี 2568 และเพิ่มขึ้นแตะ 50% ภายในปี 2573
โดยบริษัทตั้งเป้าปี 2573 EBITDA จะอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท แม้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จะทำได้ตามเป้าหมายแล้ว แต่คาดว่ากลุ่มธุรกิจใหม่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างผลกำไร แต่คาดหวัง EBITDA ที่ได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะไม่ด้อยไปกว่าธุรกิจเดิม
นายชวลิต กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุน 5 ปี (2565-2569) ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท และเตรียมงบสำรองลงทุนไว้อีก 2 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นคาดว่างบลงทุนสำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่จะอยู่ที่ 35-40% หรือราว 1.5-1.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบที่ใช้ปี 2565 มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ได้แก่ งบลงทุนธุรกิจใหม่ราว 8 พันล้านบาท งบโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 (UCF) ราว 6 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นงบซ่อมบำรุง และงบลงทุนประจำปี
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษา การร่วมทุน (JV) และการควบรวมกิจการ (M&A) กับพันธมิตรหลายราย โดยมีดีล M&A 1 โครงการที่เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบสถานะธุรกิจ (Due Diligence) แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2565 และอยู่ระหว่างหารืออีก 1 โครงการ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงคาดว่าจะใช้ระยะเวลานานกว่าโครงการแรกจึงจะแล้วเสร็จ โดยทั้ง 2 โครงการเป็นดีล M&A ในประเทศ
ส่วนแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4 ปี 2564 คาดรายได้ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยได้ปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นสูงในช่วงต้นไตรมาส ส่งผลให้บริษัทคาดว่าส่วนต่างระหว่างราคาขายกับต้นทุน (สเปรด) จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ปี 2564 และจะส่งผลให้รายได้ทั้งปีนี้เติบโตกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.75 แสนล้านบาท