'ประหยัดภาษี' ด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

'ประหยัดภาษี' ด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

เข้าสู่ปีเสือ 2565 ได้เกือบสามเดือนแล้ว เพื่อนสมาชิกบางท่านอาจยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี 2564 เรียบร้อยแล้ว และวางแผนที่จะมีเงินออมมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ

วันนี้ มีคำแนะนำดีๆ สำหรับเพื่อนสมาชิกที่ต้องการออมเงิน และลงทุนเพื่อการเกษียณอายุผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (provident fund: PVD) และต้องการประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปีไปพร้อมกัน  

\'ประหยัดภาษี\' ด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 

นางศิษฏศรี นาคะศิริ  ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับธุรกิจออกแบบการลงทุนและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า เพื่อนสมาชิกหลายท่านคงทราบดีว่าเงินสะสมที่สมาชิกนำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายเข้ากองทุนจริง และเมื่อรวมกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณประเภทอื่น  เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี  อีกทั้ง ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อนำเงินออกจากกองทุนเมื่ออายุครบ 55 ปี และเป็นสมาชิกมาครบ 5 ปีแล้ว

อย่างไรก็ดี เพื่อนสมาชิกอาจสงสัยว่า ควรวางแผนการออมการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี 

ส่งเงินสะสมมากช่วยประหยัดภาษี 
สำหรับเพื่อนสมาชิกที่ต้องการเก็บเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ และไม่ได้ลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีประเภทอื่น ควรเลือกส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็มจำนวน จะได้นำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย  โดยอัตราเงินสะสมที่สามารถนำส่งเข้ากองทุนจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน

ซึ่งเพื่อนสมาชิกสามารถสอบถามข้อมูลอัตราเงินสะสมและอัตราเงินสมทบที่จะได้รับจากนายจ้าง รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ได้จากคณะกรรมการกองทุนหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของนายจ้างหรือศึกษาได้จากข้อบังคับกองทุน ทั้งนี้ อัตราเงินสะสมและเงินสมทบในข้อบังคับกองทุนจะอยู่ระหว่าง 2-15% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ลงทุนยาวและสม่ำเสมอช่วยเพิ่มผลตอบแทน

การเก็บออมเพื่อการเกษียณอายุผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนระยะยาว ยิ่งเริ่มส่งเงินเข้ากองทุนเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีเวลาเก็บออมนานขึ้นเท่านั้น ประกอบกับการสะสมเงินอย่างต่อเนื่องทุกๆ เดือน จะช่วยเพิ่มพูนให้เงินกองทุนงอกเงยจนเป็นเงินก้อนโตที่เราอาจคาดไม่ถึง

ตัวอย่างเช่น สมาชิกเริ่มออมตั้งแต่อายุ 20 ปี ได้รับเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท และเพิ่มขึ้น 2% ทุกปี ขณะที่สมาชิกและนายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนฝ่ายละ 10% ตั้งแต่ปีแรก โดยได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3% เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี จะมีเงินเก็บกว่า 7 แสนบาท หากเก็บเงินต่อเนื่องอีก 5 ปี เงินกองทุนจะเพิ่มเป็นประมาณ 1.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5 เท่า และหากเป็นสมาชิกต่อเนื่องถึง 30 ปี เงินกองทุนจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 15 ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าวินัยการเก็บออมที่ต่อเนื่องจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่เติบโตสูงขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง


เลือกนโยบายการลงทุนเหมาะสมช่วยเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่เพื่อนสมาชิกควรตระหนักถึงเมื่อวางแผนเก็บเงินเตรียมพร้อมเพื่อการเกษียณคือ การเลือกนโยบายการลงทุน หากเลือกลงทุนในนโยบายการลงทุนที่มีแต่ความเสี่ยงต่ำเพราะไม่กล้ารับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา อาจต้องแลกกับความเสี่ยงที่จะมีเงินเก็บไม่พอใช้ในยามเกษียณอายุ  

ดังนั้น หากคณะกรรมการกองทุนของบริษัทที่เพื่อนสมาชิกทำงานอยู่ จัดให้มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อนสมาชิกควรเลือกลงทุนในนโยบายที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนและตระหนักถึงโอกาสในการได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการออมได้ตามแผนที่วางไว้

เช่น เพื่อนสมาชิกในวัยหนุ่ม สาวที่ยังมีเวลาเก็บออมระยะยาวอาจเลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่านโยบายประเภทอื่น โดยข้อมูลปี 2564 พบว่ากองทุนตราสารทุนสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 18.2% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (SET TRI) ซึ่งอยู่ที่ 17.7% และสูงกว่านโยบายการลงทุนประเภทอื่น

อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลตอบแทนในอนาคตจะเป็นเช่นนั้น เพื่อนสมาชิกจึงไม่ควรใช้เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญคือ การกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในนโยบายที่หลากหลาย เพราะหากตราสารทางการเงินประเภทอื่นมีผลขาดทุน อาจมีตราสารทางการเงินประเภทอื่นที่มีกำไรมาช่วยชดเชยให้ผลตอบแทนรวมยังดีอยู่หรือไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก กระจายลงทุนทั้งใน-นอกประเทศ ในการเลือกนโยบายการลงทุน เพื่อนสมาชิกควรพิจารณาเลือกลงทุนให้ครอบคลุมตราสารทางการเงินทั้งใน และต่างประเทศ

เพราะนอกจากเป็นการเพิ่มทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนแล้ว ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในด้านต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความไม่แน่นอนและซับซ้อน การลงทุนในตลาดการเงินเพียงแห่งเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการสร้างผลตอบแทนและการบริหารจัดการความเสี่ยง  

ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 39 กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุนเติบโตถึง 51% จากปี 2563 ซึ่งเพื่อนสมาชิกสามารถสอบถามรายละเอียดของกองทุนต่างประเทศหรือแจ้งให้คณะกรรมการกองทุนทราบถึงความสนใจที่จะลงทุนในกองทุนต่างประเทศ เพื่อที่คณะกรรมการกองทุนจะได้ประสานกับบริษัทจัดการเพื่อคัดเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมต่อไป  

อย่างไรก็ดี หากเพื่อนสมาชิกเลือกลงทุนไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศแล้วพบว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่เป็นที่น่าพอใจหรือขาดทุน ก็อย่าตื่นตระหนกตกใจนัก อยากให้เพื่อนสมาชิกนึกถึงเป้าหมายการออมการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า เป็นเรื่องระยะยาว ความผันผวนในระยะสั้นย่อมเกิดขึ้น
เป็นปกติ การลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นในระดับความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้ ก็อาจนำมาซึ่งผลตอบแทนในระยะยาวที่มากขึ้นได้

สุดท้ายนี้ เพื่อนสมาชิกควรเก็บออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็มสิทธิที่ได้รับจากนายจ้าง เพื่อช่วยประหยัดภาษีระหว่างทางในแต่ละปี พร้อมกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการเลือกนโยบายการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ

โดยอาจเลือกลงทุนในนโยบายตราสารทุนเพื่อให้มีเงินใช้เพียงพอยามเกษียณ จะได้เป็น “เสือนอนกิน” จากน้ำพักน้ำแรงของตนที่ได้สะสมมาตลอดชีวิตการทำงานหลายสิบปี ไม่กลายเป็น “เสือร้องไห้” ไร้เงินออมยามไร้เรี่ยวแรงแล้ว 

เพื่อนสมาชิก ลูกจ้าง และท่านผู้อ่านที่สนใจ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้ที่นี่ (คลิก) รวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ที่เว็บไซต์  ซึ่งมีการนำเสนอเนื้อหาในหลากหลายรูปแบบ อาทิ บทความ คลิปและอินโฟกราฟิก โดยมีกูรูทางการเงินที่มีชื่อเสียงมาให้ความรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
และน่าสนใจ

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์