เข้าใจเศรษฐกิจโลกปีนี้ว่าจะแย่แค่ไหน | บัณฑิต นิจถาวร
แนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกปีนี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย มีการวิเคราะห์กันมากทั้งในต่างประเทศและบ้านเรา ว่าจะแย่หรือรุนแรงแค่ไหน
ความเห็นที่ออกมามีตั้งแต่จะเป็นการชะลอตัวชั่วคราว ไม่ใช่ภาวะถดถอยไปจนถึงจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลกที่รุนแรง บางความเห็นทําให้นักลงทุนตกใจจนอยากจะปรับพอร์ตการลงทุนของตน
ความเห็นที่แตกต่างเหล่านี้ สะท้อนความไม่แน่นอนที่มีมากในเศรษฐกิจโลกขณะนี้ที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ผู้กำหนดนโยบาย ในสถานการณ์เช่นนี้ เราจึงควรพึ่งตนเอง ยึดข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ต่างๆอย่างมีเหตุมีผล นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ขอเริ่มด้วยข้อเท็จจริงสามเรื่องที่จะเป็นจุดตั้งต้นที่ดีในการวิเคราะห์หรือเข้าใจเศรษฐกิจโลกปีนี้
ข้อเท็จจริงแรก คือ เศรษฐกิจโลกกําลังชะลอและคงเข้าสู่ภาวะถดถอยปีนี้ แต่จะรุนแรงแค่ไหนจะขึ้นอยู่กับความสามารถของนโยบายเป็นสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
เศรษฐกิจโลกขณะนี้ชะลอตัว นําโดยเศรษฐกิจสหรัฐที่กําลังชะลอจากผลของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น เศรษฐกิจยุโรปกําลังชะลอตัวจากผลของสงคราม อัตราเงินเฟ้อที่สูง และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นและจีน กําลังพยายามฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด ทั้งหมดคือกว่าร้อยละ 67 ของการผลิตโลก เป็นหัวรถจักรที่กำหนดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
ปีนี้มีความเสี่ยงสำคัญสามเรื่อง ที่จะทําให้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กําลังเกิดขึ้นเปลี่ยนเป็นภาวะถดถอย คือเศรษฐกิจขยายตัวติดลบ
ความเสี่ยงที่ 1 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่จะทําต่อในปีนี้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เพราะต้องการลดอัตราเงินเฟ้อลงอีกแม้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ความเสี่ยงที่ 2 สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ไม่จบ ยืดเยื้อ สร้างเเรงกดดันต่อการผลิตอาหาร พลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ในเศรษฐกิจโลก
ความเสี่ยงที่ 3 การระบาดของโควิด-19 ที่อาจปะทุขึ้นอีกรอบจากการเปิดประเทศของจีน ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
นี่คือจุดอ่อนไหวสามจุด เป็น known unknowns ที่จะนําเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของนโยบายเป็นสำคัญ ซึ่งสำคัญสุดคือนโยบายการเงินสหรัฐว่าจะสามารถทําให้อัตราเงินเฟ้อลดลง โดยไม่ผลักให้เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยได้หรือไม่
รองลงมาคือ ความคืบหน้าในการแสวงหาทางออกเพื่อหยุดสงคราม ตามด้วยความสามารถของทางการจีนที่จะควบคุมการระบาดของโควิด-19
ล่าสุดไอเอ็มเอฟประเมินว่าปีนี้ประมาณหนึ่งในสามของเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่หรือรู้สึกว่าอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งผมเห็นด้วย
ข้อเท็จจริงที่สอง คือภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และที่ต้องระวังมากคือผลต่อความสามารถในการชําระหนี้ของประเทศที่มีหนี้มาก ทั้งประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าแก้ปัญหาไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงินในระดับประเทศ
นี่คือความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศ ถ้าประเทศมีหนี้ต่างประเทศมากและความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอหรือไม่ขยายตัว
เพราะรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวถูกกระทบ อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินโลกที่สูงขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เกิดเงินทุนไหลออก และทุนสำรองทางการของประเทศลดลง
นี่คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ที่อาจทำให้ประเทศเกิดปัญหาเสถียรภาพเศรษฐกิจตามมา
ปีที่แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์ได้วิเคราะห์ถึงสิบสองประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น อาร์เจนตินา ตูนิเซีย อียิปต์ ที่อ่อนไหวต่อการเกิดวิกฤติชำระหนี้ถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเลวร้ายลง
สําหรับประเทศอุตสาหกรรม เช่น อิตาลี ก็อยู่ในข่ายที่ต้องระวังเพราะมีหนี้สาธารณะสูงและหนี้จํานวนมากถือโดยนักลงทุนต่างประเทศ
ดังนั้น ปีนี้ถ้าเกิดวิกฤติการเงินขึ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่หรือประเทศอุตสาหกรรมบางประเทศก็ต้องเข้าใจ ซึ่งวิกฤติน่าจะอยู่ในระดับประเทศ ไม่ลุกลามเป็นวิกฤติระดับโลก ถ้าประเทศหลักไม่มีปัญหาและตลาดการเงินยังเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศหลัก
ข้อเท็จจริงที่สาม คือ เศรษฐกิจเราจะถูกกระทบเช่นกันจากภาวะถดถอยในเศรษฐกิจโลก และจะถูกกระทบมากเพราะเศรษฐกิจเราพึ่งต่างประเทศมาก ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ
ปัจจุบันต้องยอมรับว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของเราไม่เข้มแข็ง เพราะภายในประเทศคือคนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อ จากที่เศรษฐกิจไม่มีการลงทุนและขยายตัวในอัตราที่ต่ำมาตลอด
การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ผ่านมาจึงพึ่งการส่งออก การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของภาครัฐมาก เห็นได้ชัดเจนปีที่แล้วที่การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว นักท่องเที่ยวกลับมา เศรษฐกิจก็ดูดีขึ้นทันตา
ปีนี้ถ้าเศรษฐกิจโลกถดถอย การส่งออกและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ทุกฝ่ายตั้งความหวังไว้ก็จะมีข้อจำกัด กระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจ ไม่สดใสอย่างที่หวัง
ที่สำคัญ การใช้จ่ายของภาครัฐที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะมีข้อจำกัดจากระดับหนี้ภาครัฐที่ขณะนี้สูงชนเพดานการก่อหนี้ตามกฎหมายแล้ว ไม่มีพื้นที่ให้ภาครัฐใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอีก
นอกจากนี้ ถ้าการเมืองปีนี้ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างประเทศได้ในแง่คุณภาพของนโยบายเศรษฐกิจ การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศก็จะไม่กลับมา ทําให้ข้อจำกัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้จะมีในเกือบทุกมิติ
นี่คือสามข้อเท็จจริงที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เข้าใจภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยขณะนี้ และจากข้อมูลนี้เราจะสามารถวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นปีนี้ได้อย่างมีหลัก และมีเหตุมีผล
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล