'ภูมิรัฐศาสตร์' ดันลงทุนนิคมฯ กนอ.เพิ่มเป้ายอดขายทะลุ 4 พันไร่
กนอ.เผยครึ่งปีหลังลงทุนนิคมฯ ยังโตต่อ ปรับเป้ายอดขายและเช่า นิคมฯ ปี 2566 มีโอกาสทะลุ 4,350 ไร่ รับทุนเคลื่อนย้ายฐานจากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ ชี้สถานการณ์การเมืองไทยไม่มีผลชะลอตัดสินใจ
หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและมีการเปิดประเทศมากขึ้น เป็นผลให้มีนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรมเปิดดำเนินการ 67 แห่ง ใน 16 จังหวัด ครอบคลุมทั้งนิคมอุตสาหกรรมกนอ.และนิคมอุตสาหกรรมของเอกชน รวมมีพื้นที่ 190,150 ไร่ และมีพื้นที่คงเหลือสำหรับขาย/เช่า 27,278 ไร่
นายวิริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ในปี 2566 มีทิศทางที่ดี โดยมีบริษัทต่างชาติขอทราบรายละเอียดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน รวมทั้ง กนอ.ได้นำนักลงทุนสำรวจพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค 2656-มี.ค.2566) มียอดเช่า/ขายในนิคมอุตสาหกรรมมี 3,458 ไร่ ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,500 ไร่ จากที่ปี 2565 ทั้งปีมียอดเช่า/ขาย รวม 2,016 ไร่
นอกจากนี้ กนอ.ยังอยู่ระหว่างพิจารณาอนุญาตโครงการลงทุนในนิคมต่างๆ อีก 17 แห่ง ซึ่งทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มการลงทุนครึ่งหลังของปีนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อุปกรณ์ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
รวมทั้งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเปิดประเทศ และทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากแรงกดดันจากการเมืองระหว่างประเทศ และสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนบางส่วนต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน (Exit) ประกอบกับนโยบายลงทุนในบางประเทศถึงจุดอิ่มตัว เป็นผลให้กนอ. ปรับเป้ายอดขาย/เช่านิคมอุตสาหกรรมใหม่ อยู่ที่ 4,350 ไร่ปัจจุบันยอดขาย/เช่า ณ เดือนพ.ค. อยู่ที่ประมาณ 4,130 ไร่
นายวิริศ กล่าวว่า ปัจจุบัน มีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ กนอ.เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง อินเดีย กลุ่มยุโรป สหรัฐและซาอุดิอาระเบีย โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องของรถอีวี
“จากการโรดโชว์ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 26-29 มิ.ย.2566 พบว่านักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการลงทุน โดยนักลงทุนรายใหม่ยังคงให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากความพร้อมของปัจจัยต่างๆเช่น ความพร้อมของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับการลงทุน การออกสิทธิประโยชน์ใหม่ให้แก่นักลงทุน และที่สำคัญประเทศไทยมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน”
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะส่งผลมากกว่าการเมืองในประเทศ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และเทรนด์โลกในเรื่องความยั่งยืน ที่เป็นตัวเร่งให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับแผนซัพพลายเชน หาแหล่งลงทุนที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งและมีปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในระยะยาว รวมถึงเป็นประเทศที่มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนสีเขียว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่อยู่ในประเทศบางส่วนจะมีบางรายที่ชะลอการตัดสินใจขยายการลงทุน เพื่อติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
ญี่ปุ่นเร่งขอพลังงานสีเขียว
จากการโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นล่าสุด นักลงทุนได้สอบถาม กนอ.เกี่ยวกับนโยบายพลังงานสะอาด (Green Energy) เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญในการใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรม โดย กนอ. มีนโยบายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อขายให้แก่ผู้ประกอบการในนิคมฯ ที่ต้องการ ทั้งนี้อยู่ระหว่างการหารือในรายละเอียดกับกกพ.