'สุริยะ' ขู่ฉีกสัญญา 'การบินไทย' หลังแอร์ไลน์ร้องเรียนบริการภาคพื้น
“สุริยะ” เร่งแก้ไขปัญหาการให้บริการภาคพื้น หลุมจอด - ระบบสัมภาระ ลดความแออัดผู้โดยสาร หวังดันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิติด 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุด พร้อมสั่ง “การบินไทย” ปรับปรุงบริการ ขู่ฉีกสัญญาหากได้รับการร้องเรียนต่อเนื่อง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังหารือเพื่อแก้ไขปัญหาการให้บริการของผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้นของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับบริษัทผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น ผู้ประกอบการสายการบิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า วันนี้ได้เชิญผู้ประกอบการสายการบิน ผู้ให้บริการภาคพื้น คณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบินกรุงเทพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือร่วมกัน
เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับข้อร้องเรียนจากนักธุรกิจ และสายการบินว่าไม่ได้รับความสะดวกในการให้บริการภาคพื้น ซึ่งปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น จำนวน 2 บริษัท คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท Bangkok Flight Services (BFS)
รวมทั้งได้ฟังปัญหาจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้แทนสายการบินที่ใช้บริการภาคพื้นจากการบินไทย ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันว่า พบปัญหาอุปกรณ์ที่นำมาให้บริการไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัย รวมทั้งปัญหาด้านบุคลากรมีการลาออกบ่อย และบุคลาการที่เข้ามาปฏิบัติงานแทนไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่พบ คือ หลุมจอดเครื่องบินที่มีสะพานเทียบอยู่ติดกับอาคารที่พักผู้โดยสาร (Contact Gate) มีจำนวนไม่เพียงพอ ซึ่งเกิดจากมีการซ่อมในทางขับ (taxiway) เพื่อให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐาน
สำหรับปัญหาหลุมจอดไม่เพียงพอ มีแนวทางการแก้ปัญหา โดยให้สายการบินไปใช้อาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรืออาคาร SAT-1 ซึ่งสายการบินมีความกังวลเรื่องระบบการจัดการสัมภาระ จึงได้มอบให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น หารือร่วมกันถึงแนวทางแก้ปัญหา และพิจารณาหาข้อสรุปในการย้ายไปใช้อาคาร SAT-1 ภายใน 2 สัปดาห์และรายงานให้กระทรวงฯ ทราบ
อย่างไรก็ดี ตนได้เน้นย้ำนโยบายบริหารจัดการว่า ทุกเที่ยวบินต้องเข้าใช้งานหลุมจอด เนื่องจากปัจจุบันอาคาร SAT-1 มีเที่ยวบินใช้บริการ 82 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่ง ทอท. มีเป้าหมายผลักดันสายการบินให้ใช้บริการ เพิ่มขึ้นเป็น 200 เที่ยวบินต่อวัน โดยเพิ่มสัปดาห์ละ 25 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งภายใน 1 เดือนหลังจากนี้ จะมีการเพิ่มเที่ยวบินอย่างเป็นรูปธรรม และ ทอท.ได้ยืนยันว่าอาคาร SAT-1 จะมีหลุมจอดเพียงพอที่จะรองรับเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า จากนี้มีการประเมินคุณภาพการให้บริการภาคพื้นของการบินไทยแบบเป็นรายเดือน ว่ามีการดำเนินการปรับปรุงการให้บริการและแก้ไขปัญหาอย่างไร หากไม่ปรับปรุงการให้บริการภาคพื้นดีขึ้น และกระทรวงฯ ยังได้รับเรื่องร้องเรียนด้านการให้บริการที่ไม่เพียงพอตามความต้องการของสายการบินอื่น อาจมีการยกเลิกสัญญากับการบินไทย
สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น กรณีที่ผู้ประกอบการทั้ง 2 บริษัท ไม่มีความพร้อมในการให้บริการภาคพื้นได้เพียงพอ กระทรวงฯ มีแนวทางออกโดยจะให้บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จํากัด (AOTGA) เข้ามาช่วยดำเนินการให้บริการภาคพื้นเป็นการชั่วคราว แต่ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่าต้องได้รับความยินยอมจากผู้ประกอบการทั้ง 2 บริษัทก่อน ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารได้รับความสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับความคืบหน้าการจัดหาผู้ร่วมลงทุนบริการภาคพื้นรายใหม่ ซึ่งเป็นรายที่ 3 ปัจจุบัน ทอท.อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในเดือน เม.ย.นี้ โดยกระทรวงฯ ยืนยันว่าการดำเนินงานแก้ไขปัญหาบริการของท่าอากาศยานทั้งหมด เป็นไปตามที่รัฐบาลมีนโยบายทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
ซึ่งการทำให้ไปถึงเป้าหมายจะต้องมีการดำเนินงานหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งคือความพร้อมของสนามบิน ระบบจัดการสัมภาระ และกระบวนการให้บริการภาคพื้นต่างๆ ซึ่งการเร่งแก้ปัญหาเหล่านี้ และการปรับปรุงการให้บริการเพิ่มประสิทธิภาพของสนามบินในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสาร จะทำให้มีเที่ยวบินมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น เชื่อมั่นว่าจะทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค และกลับมาอยู่ในอันดับ 20 ของสนามบินที่ดีที่สุดได้