AI ดิสรัปธุรกิจพลังงานโลก ดีมานด์ไฟสีเขียวพุ่ง บางจากหนุนเทคโนโลยียั่งยืน
“บางจาก” เปิดเวที Greenovative Forum ชูสมดุล AI สร้างอนาคตยั่งยืน เพิ่มผลผลิตเกษตร - อุตสาหกรรม ชี้ AI สร้างดีมานด์ไฟฟ้าสีเขียวพุ่ง ประเทศใหญ่ต้องการใช้ ลุยศึกษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กรับการใช้งานมหาศาล
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดงาน Greenovative Forum ครั้งที่ 14 “Crafting Tomorrow's Future with Sustainable Energy and AI” ในวาระครบรอบ 40 ปีบางจาก และการก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ร่วมกับสำนักข่าว The Standard ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2567
การสัมมนาครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญจากในประเทศ และต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับการจัดการด้านพลังงาน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล และยั่งยืน มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 600 คน
นายประสงค์ พูนธเนศ รักษาการประธานกรรมการ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่น และการพัฒนาของกลุ่มบางจาก เพื่อร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้สร้างการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันให้กับทุกคน พร้อมกับช่วยยกระดับทางการแพทย์ให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยให้ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และทุกภาคส่วนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “AI, Energy and Environment” ว่า การนำประโยชน์ของ AI มาใช้ ภายใต้ความท้าทายในการรักษาความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัย พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
“การนำ AI มาช่วยสร้างโอกาส และสร้างการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย ช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ให้กับสังคมคนไทย ช่วยบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดการสูญเสียด้วย” นายประสงค์ กล่าว
ทั้งนี้ การจะนำเอา AI มาใช้ในกิจการต่างๆ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบโดยเฉพาะความยั่งยืนด้วย เนื่องจากจะต้องการใช้พลังงานที่สูงมากขึ้นจึงต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การจ้างงานอาจลดลง จึงต้องนำมาสู่การคิด วิเคราะห์เพื่อให้เกิดการสมดุล
อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะสร้างประโยชน์เป็นอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และร่นระยะเวลาในการปฏิบัติงานต่างๆ แต่กระบวนการพัฒนา และใช้งาน AI ต้องการพลังงานมหาศาลเช่นกัน ส่งผลต่อทรัพยากรโลก เช่น น้ำและพลังงาน ทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงโรงไฟฟ้าซึ่งใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก Small Modular Reactors : SMR ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปี หลังจากนี้ ทั่วโลกจะบริหารพลังงานอย่างไร เพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงของระบบ เช่น พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์เมื่อมีหมอกควันโซลาร์ทำงานได้แค่ 30-40% รวมถึงการคำนวณพลังงานลมก็เช่นกัน จึงต้องใช้ AI เข้าช่วย รวมถึงระบบการขนส่งที่ลดต้นทุน เพราะแหล่งผลิตกับแหล่งใช้จะคนละแหล่งกัน เหมือนน้ำมันที่ผลิตก็ไม่อยู่ในมหานคร แต่การใช้กลับเป็นในมหานครนิวยอร์กเยอะ จึงมี 2 ทางเลือกคือ หาแหล่งผลิตเพิ่มเติมที่รับกับระบบสายส่ง
Generative AI ช่วยยกระดับการทำงาน
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า วิวัฒนาการมนุษย์โลกได้พัฒนาการสื่อสารจากการบันทึกเพื่อเก็บข้อมูลเป็น 100 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์ชิ้นแรกจะเป็นกระดานชนวน และเริ่มบันทึกลงสมุุดโดยการเขียน หากวัดประสิทธิภาพการทำงานถือเป็นวิวัฒนาการต่างๆ ในการทำงานจนมาถึงยุคสมัครงาน 40-50 ปีที่ผ่านมา จะมีช่องให้กรอบความสามารถในการพิมพ์ดีดจนมาถึงยุคคอมพิวเตอร์ทำให้การทำงานดีขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่การพัฒนาจาก 15-16 ปีที่ผ่านมา และก้าวมาสู่ iPhone16 การทำงานแทนที่จะอยู่บน desktop วันนี้สามารถทำ PowerPoint บนมือถือได้ และดีขึ้นจนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นการเปลี่ยนอีกครั้งของโลกคือ ยุคของ AI ทำให้มนุษย์มี Productivity มากยิ่งขึ้นช่วยย่นเวลา ได้ชิ้นงานมากขึ้นจากเวลาเท่าเดิม และช่วยเสริมความคิดสร้างสรรค์จากการใช้ Generative AI ช่วยให้การทำงานต่อวันเพิ่มมากขึ้น เพราะทำได้ทุกที่ และตลอดเวลา ช่วยสรุปประเด็นได้เพียงเสี้ยววินาที
ทั้งนี้ สิ่งที่ตามมาคือ การใช้พลังงานที่มากขึ้นระดับ 6-15 เท่า เช่น จากการประมวล AI และใช้พลังงานรวมๆ กันประมาณ 300-1,000 เมกะวัตต์ โดยในอนาคตคาดการณ์ว่าจะพุ่งไปถึง 5 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับพลังงานที่โรงงานน้ำมันบางจากจำนวน 100 โรงงาน ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือ โลกจะต้องหาแหล่งพลังงานอะไรมารองรับปริมาณใช้งาน AI และในตอนนี้ทั่วโลกก็ต่างกำลังหันกลับไปมองพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้ง ซึ่งประเทศไทยก็ควรศึกษาเช่นเดียวกัน
“ถ้าทุกคนทั้งโลกราว 8,000 ล้านคน จะใช้ไฟมหาศาล และจะเอาแหล่งพลังงานมาจากไหน ทั้ง Google Microsoft และ Amazon ประกาศที่จะซื้อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เงินมากกว่าแผนถึง 3 เท่า และใช้เวลานาน อีกทั้งเรื่องของการบริหารความปลอดภัย และเรื่องใหญ่ที่สุดคือ เวลาในการผลิตพลังงาน 30-40 ปี แต่รังสีที่ยังอยู่นานถึง 1 แสนปี”
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รับดีมานด์พลังงาน
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อท้ายที่สุดแล้วการใช้ดาต้าในปริมาณที่สูง ซึ่งทุกประเทศขณะนี้จะพบกับปัญหาเรื่องของการใช้พลังงานไฟฟ้า แม้แต่ประเทศสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ต่างต้องการใช้พลังงานสะอาดที่มีความเสถียรมากขึ้น แม้ที่ผ่านมาพลังงานนิวเคลียร์จะมีปัญหาแต่ก็จะนำกลับมาใช้ใหม่ ดังนั้น กลุ่มบางจาก โดย บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจเช่นกัน
“จุดไหนมีดีมานด์การใช้พลังงานสะอาดมากๆ และเปิดกว้าง กลุ่มบางจาก ก็พร้อมที่จะเข้าไปลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ จึงขึ้นอยู่กับโอกาส ซึ่งตอนนี้ก็ได้ศึกษาอยู่ตามแผนต่างๆ ทั้งความเป็นไปได้ที่จะร่วมทุนกับพันธมิตร และเข้าลงทุนเอง" นายชัยวัฒน์ กล่าว
ดังนั้นดีมานด์ความต้องการสำคัญ รวมถึงขณะนี้เทคโนโลยี AI เองมีการใช้งานมากขึ้น และกลุ่มนี้จะมีการใช้พลังงานสะอาดในปริมาณมาก รวมไปถึงดาต้าเซนเตอร์ที่มีการใช้พลังงานสูงกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ปกติหลายเท่า
ส่วนการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และการอยู่ร่วมกันกับ AI อย่างยั่งยืนว่า การเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานสะอาดทั่วโลกจะต้องใช้เวลา ซึ่งนอกจากนี้การใช้พลังงานของคนทั่วไปล้วนอิงจากพฤติกรรมชีวิตประจำวัน หากลองเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้พลังงานก็น้อยลงตามด้วย นอกจากนี้ การใช้งาน AI ควรใช้งานที่พึงประสงค์เท่านั้น เพราะ AI ยังเป็นสิ่งที่ใช้พลังงานมาก
“การใช้ AI ในองค์กรบางจากมองว่า AI เป็นการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี เรามองเป็นเครื่องมือช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นหรือเพิ่ม Productivity ให้สามารถทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติเยอะมากกว่าหลักร้อยหลักพันเท่า ดังนั้น ต้องสร้างสมดุล เรามองว่าจำเป็นที่จะต้องใช้และใช้ให้เหมาะสม สู่เป้าหมาย Net Zero”
“บางจาก”ขับเคลื่อนสังคมยั่งยืน
สำหรับงานสัมมนา Greenovative Forum จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่องโดยบางจากฯ ตั้งแต่ปี 2554 เพื่อสร้างเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองใหม่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านพลังงาน เทคโนโลยี นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบางจากฯ ในการเชิญชวนให้สาธารณชนตระหนักถึงประเด็นที่ควรให้ความสำคัญและร่วมมือกันในการผลักดัน ผ่านการร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือประชาชน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ร่วมสร้างสังคมที่สมดุลและยั่งยืน
นางสาวชญานิศ โควาวิสารัช Senior Consultant, Net Zero, ERM, United Kingdom (สหราชอาณาจักร) ได้แบ่งปันประสบการณ์จากการทำงานด้านการให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืน ในหัวข้อ “AI and Sustainability in Practice” ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ว่า ปัจจุบัน AI มีศักยภาพอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์และสามารถช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ตั้งแต่ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
“การใช้ AI จะต้องใช้พลังงานที่เยอะขึ้นนำมาใช้ช่วยในเรื่องของการแพทย์ การเกษตร ช่วยบริหารขัดการพลังงานเพื่อความมั่นคง ช่วยในเรื่องของการกำกับดูแลที่เป็นระบบ และการวางแผนกลยุทธ์อย่างเร่งด่วนจึงมีความสำคัญ เพื่อให้การพัฒนา และพิจารณาการใช้ AI ที่เหมาะสม เท่าเทียม และมีจริยธรรมอีกด้วย”
ทั้งนี้ ในเรื่องของการคาร์บอนไนเซชันจะต้องไม่ละเลย นอกจากใช้พลังงานเยอะแล้วยังต้องใช้น้ำเยอะด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง เครื่องจักรอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ยังมาจากแร่ที่หายาก จะสร้างปัญหาในเรื่องการบริโภคที่มหาศาลตามมาด้วยคอมพิวเตอร์ที่ต้องทำงานเร็วขึ้น เหมือนการใช้มือถือที่ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ความเสี่ยง AI ก็ทำให้คนแปลกแยกออกจากสังคม เพราะเล่นโซเชียลเยอะเกิดเฟกนิวส์ จึงต้องระมัดระวัง ต้องหาความสมดุล
เปิดมุมมอง AI ทางการแพทย์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้ AI ช่วยการทำงานในหลากหลาย เช่น การใช้ในการพยากรณ์การทรุดตัวของกรุงเทพมหานคร ก่อสร้างอุโมงค์ไฟฟ้าใต้ดิน เป็นต้น แต่ในเบื้องต้นจะ120 ต้องสอน AI ซึ่งต้องป้อนข้อมูล เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ความสามารถในการคำนวณ AI ยังไม่เท่าปัจจุบัน หากเทียบการแพทย์วันนี้มาไกลมาก
อย่างไรก็ตาม การจะมาไกลมากแค่ไหน AI ก็ยังต่อสู้อยู่ใน 2 เวทีที่ท้าทายคือ 1. ต้องใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด เพราะทางการแพทย์ข้อมูลที่ได้มามีข้อจำกัดทั้งในเรื่องของศีลธรรมความเป็นส่วนตัว อีกทั้งพลังงานที่ใช้ก็เยอะมาก ทำอย่างให้ประหยัดที่สุด และมีการใช้เรียนรู้ให้น้อยที่สุด 2. ต้องแม่นยำที่สุด เพราะทางการแพทย์ผิดพลาดแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวนั่นหมายถึงชีวิต
“AI จะฉลาดได้ต้องมีคนอยู่ข้างๆ ที่ฉลาดมากที่ไม่ใช่คนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่คนในสาขาวิชาชีพนั้น แต่ที่เสี่ยงที่สุดโดยเฉพาะการแพทย์ที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันคือ ยังเร็วเกินไปที่จะมาใช้จริงเพราะจะต้องมีหมอและใช้ควบคู่กัน และหากเจอกรณีใหญ่ๆ หากให้ AI ตัดสินใจญาติผู้ป่วยจะยอมหรือไม่ อีกทั้งหากมีความซับซ้อนมากๆ จะปล่อยให้ AI ดำแทนหมอคงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ที่สำคัญมากที่สุด คือ เรายังไว้ใจ AI ในวันนี้ไม่ได้ ซึ่งอนาคตตามที่มองไว้อาจจะเป็นไปได้แต่คงไม่ใช่ในวันนี้” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว
นอกจากนี้ ความสามารถในการพัฒนาสมองของมนุษย์คือ การแสวงหาคำตอบไปเรื่อยๆ ดังนั้น เด็กจะพัฒนาได้ในปัจจุบันอย่าเพิ่งใช้ AI ควรหาหนังสืออ่านก่อนแล้วค่อยพัฒนา แต่ในยุคกลางคน หรือผ่านช่วงการเรียนรู้ก็สามารถใช้ AI ได้ในเฉพาะเรื่อง และทุกครั้งที่ใช้จะต้องใช้ในความพึงระวังใช้ในระบบศึกษาเบื้องลึกเพื่อต่อยอด
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์