เศรษฐกิจสหรัฐ ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง | ดอน นาครทรรพ
ในฐานะที่สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย (สัดส่วนมูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์เท่ากับร้อยละ 15.4 จีนเป็นอันดับ 2 ที่ร้อยละ 13.7) หากจะบอกว่า ฝน (เศรษฐกิจ) ที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ก็คงจะไม่ผิดนัก
ปลายเดือนที่แล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนคงตื่นเต้นกับตัวเลขอัตราการขยายตัวแบบไตรมาสต่อไตรมาสของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ออกมาติดลบติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2
แม้ NBER ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประกาศภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอย่างเป็นทางการ จะออกมาบอกว่าเครื่องชี้รายเดือนหลักที่ NBER ใช้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น การผลิตภาคอุตสาหกรรม การบริโภคภาคเอกชน และการจ้างงานนอกภาคเกษตร จะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังห่างไกลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
แต่ด้วยความที่ทุกครั้งในอดีตที่จีดีพีแบบไตรมาสต่อไตรมาสของสหรัฐหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่สุดท้ายแล้ว NBER จะไม่ระบุว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลายคนจึงยังไม่มั่นใจนักว่า พอเวลาผ่านไปสักระยะ NBER อาจจะกลับคำให้การก็ได้
อย่างไรก็ดี สำหรับเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยไปแล้วหรือยัง ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐขยายตัวร้อยละ 20.1 สูงกว่าการขยายตัวของส่งออกรวมที่ร้อยละ 12.7
และคาดกันว่าครึ่งหลังของปี น่าจะยังขยายตัวได้สองหลักอยู่ ซึ่งถ้าเราส่งออกไปสหรัฐได้ดีขนาดนี้ ผมว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยก็ถดถอยไป
ที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นมากกว่าคือ เศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะกระทั่งคนที่มองโลกในแง่ดีที่สุด คือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ยังมองว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าจะไม่ถึงขั้นถดถอย แต่ก็จะชะลอลงจากปีนี้อย่างมีนัย (Soft landing)
ซึ่งในกรณีแรกนี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะยังชิลๆ เพราะปัจจัยหลักที่หนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีนี้และในปีหน้ามาจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรวมกันแล้วมีขนาดของแรงส่งทางเศรษฐกิจใหญ่กว่าส่งออกไทยไปสหรัฐมาก
กรณีที่สองซึ่งเป็นกรณีที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันคือ เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆ (Mild recession) ในปีหน้า จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด
โดยตลาดมองว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 2.25-2.50 ต่อปีในปัจจุบัน ไปอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.50 ต่อปีภายในสิ้นปีนี้ ก่อนที่เฟดจะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในครึ่งแรกของปีหน้าหลังจากพบว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้ แม้การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยพอสมควร แต่ไม่น่าถึงกับทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องสะดุดลง ด้วยผมยังเชื่อว่าการใช้จ่ายในประเทศและการท่องเที่ยวน่าจะยังพอเอาชนะปัจจัยลบจากสหรัฐได้
กรณีสุดท้าย ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมยังมองว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่สุด แต่เป็นกรณีที่ผมกังวลที่สุดคือ เศรษฐกิจสหรัฐประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง (Deep recession) จากการที่เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยไปสูงกว่าที่ตลาดคาดมาก เนื่องจากเงินเฟ้อในปีหน้าจะไม่ลงมามากตามที่เฟดคาดการณ์
ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญที่เชื่อกรณีนี้มาก คือ Lawrence Summers อดีตรัฐมนตรีคลังของสหรัฐ
ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่งมากเมื่อต้นเดือนนี้ แม้จะเป็นข่าวดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐในครึ่งแรกของปีไม่น่าจะเข้านิยามเศรษฐกิจถดถอย ตอกย้ำสมมติฐานของ Summers ว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐนั้นร้อนแรงเกินไป โดยเฉพาะอัตราการขยายตัวของค่าจ้างที่ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง
Summers มองว่า เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนถึงระดับที่ทำให้อัตราการว่างงานของสหรัฐไปอยู่ที่ร้อยละ 6.9 (จากปัจจุบันร้อยละ 3.5) จึงจะสามารถกดเงินเฟ้อที่มาจากค่าจ้างแรงงาน (Wage inflation) ให้ลงมาเท่าค่าเฉลี่ยในอดีตได้ (ตัวเลขจากบทความ A Labor Market View on the Risks of a U.S. Hard Landing โดย Alex Domash และ Lawrence Summers)
ในกรณีหลังนี้ เศรษฐกิจไทยจะเจอกับปัจจัยลบสองเด้ง เด้งแรกจากการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ (ซึ่งถ้าสหรัฐขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อ ธนาคารกลางจำนวนมากในโลกคงขึ้นต่อด้วย ส่วนหนึ่งตามเทรนด์ Reverse currency war) และเด้งที่สองจากการถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐ และเผลอๆ เศรษฐกิจโลกด้วย
ทำให้ที่หลายคน (รวมถึงผม) มองกันไว้ว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4 คงลืมกันไปได้เลย ดีไม่ดี เศรษฐกิจไทยอาจถูกเศรษฐกิจสหรัฐฉุดตามไปด้วย ดังนั้น นอกจากจะภาวนาว่ากรณีเลวร้ายนี้จะไม่เกิดขึ้น คงต้องเตรียมแผนฉุกเฉินไว้รองรับกันด้วยครับ.
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย