สองแพร่ง... ประชาธิปัตย์
บริบททางการเมืองในห้วงเวลานี้ ผู้คนทั่วไปอยากเห็นการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล เร็วๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเพื่อไทย หรือฝ่ายพลังประชารัฐ ก็ได้
ขั้วการเมืองในซีกพรรคเพื่อไทย 7 พรรค ค่อนข้างนิ่งแล้ว
ขั้วการเมืองซีกพลังประชารัฐ ก็ค่อนข้างนิ่งแล้ว
เว้นแต่....
เว้นแต่ 2 พรรคขนาดกลางอย่างพรรคประชาธิปัตย์ (4) กับภูมิใจไทย (5) ที่กำลังเป็นตัวแปร และไม่ว่า 2 พรรคนี้เข้าร่วมฝ่ายใด ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภา ดังนั้นทั้งซีกเพื่อไทย และพลังประชารัฐ ต้องการดึงมาร่วมรัฐบาล
ถ้าว่ากันเฉพาะ“ประชาธิปัตย์” หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้ง 24 มี.ค. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรค และเพิ่งจะได้หัวหน้าคนใหม่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
ประชาธิปัตย์ ก่อนเลือกหัวหน้าพรรค คนในพรรคแบ่งเป็น 2 ก๊ก ประลองกำลังภายในกัน ว่า “ร่วมรัฐบาล” หรือ “เป็นฝ่ายค้านอิสระ”
ความเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุด อย่างพรรคประชาธิปัตย์ อายุอานามกว่า 70 ปี คนในพรรคย่อมสั่งสมประสบการณ์ มากพอที่จะมองเห็นอนาคตการเมืองได้ทะลุปรุโปร่ง
ดังนั้น “การเลือกข้าง” ครั้งนี้ ไม่ใช่ END GAME ของ “จุรินทร์” หัวหน้าทีม avenger และไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ คนในพรรคย่อมเล็งเห็นว่าการตัดสินใจวันนี้ จะส่งถึงอนาคตวันข้างหน้า
ดังนั้น ในภาวะพรรคระส่ำระสาย เพราะภายในพรรคมีพวกกระสันอยากร่วมรัฐบาล แต่ก็มีอีกฟากที่ต้องการรักษาหลักการประชาธิปไตย ที่ประกาศไว้ช่วงหาเสียงว่า ไม่สนับสนุน “ลุงตู่”
เซียนการเมือง บอกว่า เพื่อไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้ง จึงน่าเชื่อว่า โอกาสประชาธิปัตย์ จะ “ฟรีโหวต” เลือกนายกฯ แต่จะไม่เข้าร่วมรัฐบาล มีสูง
ประกาศตัวเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” วิธีนี้ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง คือไม่เสียคะแนนนิยมในพรรค ไม่สร้างศัตรูการเมือง
ประการสำคัญไม่ต้องเดินตามเกมพลังประชารัฐ และยังได้เล่นบทเก่ง คือ ฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาล ขี่ม้าเลียบค่ายทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายตรงข้าม เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน รอเวลา “ล้างตา” ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่เชื่อว่าจะมาถึงในเวลาไม่ช้า