วิวัฒนาการของรัฐเยอรมันนี(2) ‘Habsburg ถึง Congress of Vien
ในศตวรรษที่16 พระจักรพรรดิมาจากราชวงศ์ Habsburg ของออสเตรีย ราชวงศ์จากเยอรมัน จึงห่างเหินไปเรื่อย ๆ
ในค.ศ.1871 Reichstag ถูกแปรรูปเป็นรัฐสภาของจักรวรรดิเยอรมันนีที่ ประกาศจัดตั้งในปีนั้น
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ความเสื่อมถอยในศตวรรษที่ 16 เนื่องจากความห่างไกลจาก เยอรมันนี แต่ที่สำคัญเมืองต่างๆ รู้สึกว่าความร่ำรวยของคริสตจักรในท้องถิ่น ถูกสูบไปที่กรุงโรมเกือบทั้งหมด ส่วนพระจักรพรรดิจากออสเตรียเอง ก็อยู่ห่างไกลเช่นเดียวกัน สถานการณ์ของเจ้าเมืองต่างๆ ที่ค่อนข้างอิสระอยู่แล้ว เริ่มหันเหความสนใจมาที่ความมั่นคงของตนเอง และโอกาสในการขยายดินแดนของตน
ในสมัยนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของบาทหลวงหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ และเหลวแหลกเช่นเดียวกับ พวกราชวงศ์ ทั้งพระสันตะปาปา และบาทหลวงสมคบคิดกันรับเงินไถ่บาปเพื่อก่อสร้างโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ในกรุงโรม โดยมีการแบ่งให้บาทหลวงท้องถิ่น Martin Luther นักศาสนศาสตร์แสดงแนวคิด ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวและเห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญ แนวคิดนี้ สร้างความรุนแรงไปทั่วยุโรป แม้ว่า Luther จะถูกตัดสินโดยคณะองคมนตรีว่าผิดกฎหมาย แต่ก็ได้รับการปกป้องจากกษัตริย์ Frederick แห่ง Wittenberg
ในค.ศ.1529 ราชวงศ์ 5 พระองค์กับ “เมืองหลวง” 14 แห่ง ประกาศไม่เห็นด้วยและประท้วงมติของคณะองคมนตรีข้างต้น ทำให้เกิดการเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า Protestants ความเป็นปฏิปักษ์เกิดขึ้นระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายต่อเนื่องไปจนถึง ค.ศ. 1555 การประชุมของคณะรัฐมนตรีที่ Augsburg โดยมี Ferdinand (พระอนุชาของพระจักรพรรดิ Charles V แห่งออสเตรีย) ทรงเป็นประธาน มีมติให้เลือกได้โดยเสรีระหว่าง Catholic กับ Lutheran ได้ ฝ่ายที่เลือก Lutheran ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป ได้แก่ เดนมาร์คกับสวีเดน และทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมันนี ได้แก่ Wittelsbach of Rhine
เหตุการณ์ยังไม่มีอะไรรุนแรง จนกระทั่งการเลือกให้ Frederick V เป็นกษัตริย์แห่ง Bohemia ที่เป็นฝ่าย Protestants ใน ค.ศ.1619 สงคราม 30 ปี จึงได้เกิดขึ้น
เนื่องจาก Bohemia เป็นหนึ่งในผู้เลือกตั้งพระจักรพรรดิ ซึ่งมี Ferdinand II แห่งออสเตรียทรง ดำรงตำแหน่งอยู่ในฐานะพระจักพรรดิ พระองค์จึงยอม Frederick V ไม่ได้และขอกำลังจากรัฐบาล รัฐบาวาเรียที่เป็นคาทอลิคมาช่วยปราบ โดยให้สัญญาว่าจะให้ครอง Bohemia และเป็นผู้เลือกตั้ง พระจักรพรรดิด้วย Frederick V เป็นกษัตริย์ได้เพียงฤดูหนาวเดียวก็ต้องหนีไป พระราชินีเป็นพระธิดาของกษัตริย์ James I แห่งอังกฤษ พระโอรสของพวกเขาจึงกลายเป็นกษัตริย์ของสหราชอาณาจักร George I ในภายหลัง
ในค.ศ.1625 กษัตริย์ Christian IV ยาตราทัพเข้าไปในเยอรมันนีเพื่อช่วยเหลือรัฐทางเหนือ ที่เป็น Protestants แต่พ่ายแพ้ด้วยความอ่อนประสบการณ์ และถูกกองทัพ Bavaria ตีให้ถอยกลับไปบนเกาะของเดนมาร์ก ในค.ศ.1629 พระจักรพรรดิ Ferdinand II ประกาศให้รัฐ Protestants ทั้งหลายที่ยังไม่คืนดินแดนสวามิภักดิ์ตามมติที่ Augsburg ในปี 1555 ให้มาคืนเสีย ซึ่งแน่นอน สร้างความโกรธเกรี้ยวอย่างขนานใหญ่จากรัฐ Protestants คราวนี้กษัตริย์ Gustav II แห่งสวีเดน ยกกองทัพข้ามทะเลบอลติคเข้าไปในเยอรมันนีเพื่อช่วยเหลือรัฐที่เป็น Protestants ตามชายฝั่งทะเล บอลติค
กองทัพฝ่ายสวีเดนดีกว่า เนื่องจากมีการใช้ทหารประจำการที่ชำนาญกว่าแทนทหารรับจ้าง ทำให้เสื้อเกราะเบาลง ปืนสั้นลง และบรรจุกระสุน/ยิงได้เร็วขึ้น กษัตริย์สวีเดนสิ้นพระชนม์ในสนามรบ การรบยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1635 จึงได้มีประกาศสงบศึกที่ Prague Ferdinand II ยอมอ่อนข้อให้คืนที่ดินของโบสถ์เพียง แค่ค.ศ.1627
เนื่องจากคู่สงครามไม่ได้มีแต่รัฐเยอรมัน ประกาศที่ Prague จึงไร้ผล กษัตริย์สเปนที่เป็นราชวงศ์ Habsburg ด้วยก็กำลังทำสงครามกับเนเธอแลนด์ สวีเดนก็ไม่ได้เป็นคู่ สัญญาที่ Prague ฝรั่งเศสเองไม่อยากเห็นอิทธิพลของ Habsburg ในยุโรป จึงร่วมมือกับรัฐ Protestants และสวีเดนในการรบกับจักรวรรดิออสเตรียต่อไป ในขณะเดียวกัน ปอร์ตุเกสประกาศอิสรภาพ ทำให้สเปนพะวักพะวน สถานการณ์ทำให้ทุกฝ่ายอยากจะสงบศึกและนำไปสู่สัญญาสงบศึก Westphalia ค.ศ.1648 รัฐเยอรมันที่เป็น Protestants ได้เป็นอิสระ Switzerland ได้รับการรับรอง เป็นสหพันธรัฐ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองดินแดนเยอรมันต่าง ๆ ได้อีกต่อไป พวกเขามีอิสระที่จะกำหนดนโยบายต่างประเทศของตนเอง
เยอรมันนีหลังสงคราม 30 ปี กลายเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยดินแดนที่ปกครองเป็นอิสระจำนวน มากและมีความสับสนพอสมควร ดินแดนประมาณ 200 แห่งปกครองโดย Prince หรือ Count อีก 50 แห่งปกครองด้วยบาทหลวง และ “เมืองหลวง” หรือเมืองอิสระมีอีกเป็นจำนวนมาก บางเมืองเป็นเพียงตลาดเท่านั้น ราชวงศ์ที่สำคัญ ๆ มี 5 ราชวงศ์ คือ 1) Habsburg ทางตะวันออกเฉียงใต้ 2) ราชวงศ์ Saxony ปกครอง Wettin ทางเหนือ 3) ราชวงศ์ Hohenzollern ทางตะวันออกเฉียงเหนือปกครอง Brandenburg และได้รับสิทธิปกครอง Prussia และ Pomerania ด้วย 4) Welf ราชวงศ์เก่าแก่ปกครองรัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือได้แก่ Brunswick และ Hanover 5) ราชวงศ์ Wittelsbach ปกครองทางใต้ของเยอรมันนีทั้งหมดทั้ง Bavaria และ Rhineland-Palatinate ในจำนวนนี้ Hohenzollern ถือว่าเป็นราชวงศ์ที่ใหม่สุดและมีฐานะที่ใกล้เคียงกับ Habsburg มากที่สุด
Hohenzollern ปกครอง Prussia ในฐานะตัวแทนของกษัตริย์โปแลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ.1525 แต่หมดผู้สีบรัชทายาทในปี ค.ศ.1618 พระญาติซึ่งเป็นผู้เลือกตั้งแห่ง Brandenburg จึงรับช่วงแทน Prussia ของ Hohenzollern เรียกว่า Ducal Prussia Prussia ส่วนที่มีเมืองท่า Gdansk เรียกว่า Royal Prussia เป็นของโปแลนด์โดยตรง ในสมัยที่ดินแดนแถบนี้เต็มไปด้วยดินแดนอิสระภายใต้ระบบศักดินา Ducal Prussia ที่กระเด็นออกไปไม่เป็นปัญหา ในค.ศ.1657 Ducal Prussia กลายมาเป็นของ Brandenburg โดยตรง
Frederick William แห่ง Brandenburg ได้ปรับปรุงการบริหารโดยประกาศใช้ระบบภาษี ส่วนกลางที่ย้ายเอาอำนาจมาจากผู้ดูแลดินแดนต่างๆ ทำให้มีเงินใช้จ่ายในการสร้างกองทัพประจำการขึ้นมา พระองค์เกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหารปีละ 4 เดือน ที่เหลือกลับไปทำมาหากินที่บ้าน กองทัพที่เข้มแข็งจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ในค.ศ.1740 Prussia กลายเป็นอาณาจักรที่มีเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในยุโรป และมีกองทัพที่เข้มแข็ง Frederick II หรือ Frederick the Great เป็นผู้ใช้กองทัพนี้ให้เป็นประโยชน์ในการขยายดินแดน การฝึกทหารและกลยุทธของพระองค์ ทำให้กองทัพเคลื่อนที่และวางกำลังใหม่ได้อย่างรวดเร็วในลักษณะที่กองทัพอื่นๆ ในยุโรปอยากจะเลียนแบบ
แต่ Frederick II เผชิญกับศัตรูรอบด้านตั้งแต่สวีเดนทางเหนือ ออสเตรียทางใต้ รัสเซียทางตะวันออก และฝรั่งเศสทางตะวันตก พันธมิตรมีเพียงอังกฤษที่ช่วยเหลือทางการเงินเท่านั้น ส่วนด้านตะวันตกมอบให้น้องเขยหรือ Ferdinand ผู้ครองดินแดน Brunswick ดูแลการรบในช่วงปี 1757-1759 ผ่านไปด้วยดีโดยได้ชัยชนะ
ปี 1772-1796 เป็นช่วงเวลาที่โปแลนด์ถูกฉีกแบ่งออกเป็นริ้ว ๆ ในค.ศ.1769 ออสเตรียยึด ดินแดนทางใต้ของเมือง Krakow Frederick the Great ยึดดินแดนที่อยู่ระหว่าง Brandenburg กับ Prussia ในค.ศ.1770 รัสเซียยึดดินแดนโปแลนด์ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้ง 3 ฝ่ายถึงกับทำข้อตกลงกันอย่างเป็นทางการในค.ศ.1772 หลังจากนั้น รัสเซียยังใช้ข้ออ้างเรื่องความวุ่นวายภายในของ โปแลนด์เพื่อยกกองทัพเข้าไป Warsaw แตกในปี 1794 ด้วยกองทัพรัสเซียและปรัสเซีย ปรัสเซียได้เมือง Gdansk และเรื่อยลงไปทางใต้เกือบถึง Krakow ส่วนรัสเซียได้ดินแดนทางตะวันออกของโปแลนด์ถึง 97,000 ตารางไมล์ ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่ปัจจุบันของโปแลนด์เสียอีก การเสียดินแดนครั้งที่ 3 ก็ด้วยประเทศทั้ง 3 เช่นเดียวกัน โดยเอาดินแดนส่วนที่เหลือแบ่งกัน ปรัสเซียได้ Warsaw เพิ่มมา
ในค.ศ.1805 นโปเลียนบุกเยอรมันนี รัสเซียเป็นพันธมิตรกับออสเตรีย ส่วนรัฐบาวาเรียกับรัฐเล็ก ๆ อีก 2 แห่งเป็นพันธมิตรกับนโปเลียน ฝรั่งเศสบุกถึงเวียนนาในเดือน พ.ย.และออสเตรีย ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพโดยยกดินแดน Venice Istria และ Dalmatia ให้ฝรั่งเศส นโปเลียนเริ่มทยอยจัดระเบียบรัฐต่างๆ ในเยอรมันนีให้เป็นกลุ่มก้อน ตั้งแต่ ค.ศ.1801 จนมาถึงจุดสุดยอด ในปี ค.ศ.1807 เมื่อรัฐต่างๆ ในเยอรมันนีทั้งหมด (ยกเว้น Prussia และ Saxony) ถูกรวมให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ Confederation of the Rhine และยกฐานะผู้เลือกตั้งพระจักรพรรดิเป็นกษัตริย์ สมาชิกของ Confederation มีอิสระทุกอย่าง ยกเว้นกิจการต่างประเทศและจะต้องให้การสนับสนุนกำลังทหาร เมื่อได้รับการร้องขอ ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายๆ กับสหพันธรัฐในยุคปัจจุบัน เพียงแต่มีพระจักรพรรดิที่เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ ที่จริงแล้ว ความฝันให้เยอรมันนีเป็นหนึ่งเดียวมีมานานแล้ว อาจกล่าวได้ว่า นโปเลียนมีคุณูปการต่อเยอรมันนีในการกลายเป็นรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวมากขึ้น
ในค.ศ.1815 Congress of Vienna ได้ขยาย Confederation ให้เป็น German Confederation หรือสหพันธรัฐแห่งรัฐเยอรมันทั้งหมด โดยประกอบด้วยรัฐที่มีจำนวนลดลงมากได้แก่ รัฐที่มีกษัตริย์ 35 รัฐและเมืองอิสระอีก 4 เมือง (Hamburg, Bremen, Lübeck และ Frankfurt) บางรัฐเป็นเพียงผลประโยชน์เล็กๆ เท่านั้น เช่น สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าของ Hanover และเดนมาร์คเป็นเจ้าของ Holstein ส่วนสภาก็เป็นเพียงที่ชุมนุมของผู้แทนรัฐต่างๆ ในลักษณะการฑูตมากกว่า โดยมีการประชุมที่ Frankfurt ถึงเวลานั้น จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถือว่าหมดสภาพไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่คือความฝันของ Metternich รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรียที่อยากจะให้ออสเตรียเป็นพี่เบิ้มแห่งมวลรัฐเยอรมัน
ใน Congress of Vienna Prussia และ Austria ถือเป็นกุญแจสำคัญของความมั่นคงแห่ง สหพันธรัฐ แต่ว่า ในค.ศ.1834 พระจักรพรรดิ Frederick William รวบรวมให้รัฐเยอรมันทั้งหมดเป็น custom union เดียวกันเรียกว่า Zollverein โดยยกเว้น Austria ให้อยู่โดดเดี่ยวอย่างตั้งใจ เนื่องจากมีตลาดการค้านอกเยอรมันอยู่แล้ว ลักษณะเช่นนี้เปรียบเสมือนกับการยึดเยอรมันนีทั้งหมด โดยทางอ้อม