ครึ่งปีหลัง SET ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย
GDP ประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวลงต่อเนื่อง 12.2% จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19
ส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศหดตัวลงรุนแรง ทั้งการ Lock Down ประเทศ ทำให้หลายธุรกิจต้องปิดการดำเนินงานไปในช่วงเดือนเม.ย.และพ.ค. อีกทั้งผลกระทบหลักสำคัญ คือการลดลงของนักท่องเที่ยวด้วยนโยบายปิดน่านฟ้าและห้ามเดินทางออกนอกประเทศของทั้งไทยและต่างประเทศ
เรามองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 แต่อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยในการสนับสนุนหลายอย่าง เช่น ความสำเร็จจากการป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม และรวมถึงการกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งของเศรษฐกิจโลก
ซึ่งสำหรับประเทศไทยแม้ว่าการควบคุมโรคในประเทศจะเป็นไปได้ดี แต่ยังคงมีความเสี่ยง สำหรับกรณีบุคคลที่กลับมาจากต่างประเทศ ที่ตรวจพบโรคเป็นระยะ ปัญหาด้านการเมืองที่เป็นประเด็นอยู่ในเวลานี้ ก็ยังคงสร้างความกังวลต่อความมั่นใจในการลงทุน
ขณะที่มาตราการกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ผ่านมายังคงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีนัก เป็นผลให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมขยายสิทธิ์ และปรับปรุงรายละเอียดของโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ สำหรับวันหยุดในช่วงปลายปี และศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบศ.) ได้เร่งอนุมัติ 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.มาตรการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว 2.มาตรการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) 3.มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน และ 4.มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย
ขณะที่ด้านปัจจัยจากต่างประเทศเป็นอีกปัจจัยหนึ้งที่ยังคงต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนท่างกลางเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในปัจจุบัน การไม่สามารถที่จะบรรลุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ รวมถึงทิศทางการเลือกตั้งครั้งใหม่ในช่วงปลายปีนี้ของสหรัฐเอง
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย เรายังคงให้น้ำหนักในการสร้างกรอบแกว่งตัวออกด้านข้าง เนื่องจากคาดการในไตรมาสที่ 3 บริษัทจดทะเบียนจะสามารถทำผลงานได้ดีขึ้นในลักษณะฟื้นตัว QoQ แต่ยังคงมองว่าเป็นการฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ และหลายบริษัทนักวิเคราะห์มีแนวโน้มของการปรับประมาณการราคาสำหรับปี 2563 ใหม่ ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นการปรับประมาณการลง แนวรับเน้นยืน 1,290 – 1,286 จุด ไม่ควรต่ำกว่าลงมา เพื่อลดความเสี่ยงของการกลับตัวเป็นขาลง โดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,320 / 1,360 จุดตามลำดับ
ในด้าน SET50 ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีการปรับตัวเป็นไปตามตลาดเสียส่วนใหญ่ โดยเราคาดว่าหากสภาวะเศรษฐกิจมีการปรับตัวที่ดีขึ้น และคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวกลับมา QoQ เป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นกลุ่มนี้มี โดยเราคาดว่าหุ้นในกลุ่ม SET50 จะมีแนวโน้มกลับมาอย่างโดดเด่นได้ในครึ่งปีหลัง อีกทั้งจากราคาหุ้นในกลุ่ม SET50 ที่ปรับตัวลงมามากแล้ว ทำให้ในด้าน Valuation มองแล้วดูน่าสนใจมากขึ้น เป็นโอกาสที่น่าสะสม โดยเราแนะนำหุ้นน่าสะสมได้แก่ SCC MINT ADVANC HMPRO BBL CBG MTC
ด้านตลาดอนุพันธ์ แนวโน้ม SET50 Index Futures ปรับตัวลงมาตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา ระยะสั้นยังคงไม่สร้างจุดต่ำกว่าบริเวณแนวรับที่ 830 จุด ซึ่งหากปรับตัวลงต่ำกว่าเรามองว่ามีความเสี่ยงของขาลงเกิดขึ้น แนวรับถัดไปบริเวณ 815 จุดโดยมีแนวต้าน ที่ 855 -875 จุดตามลำดับ
ด้านแนวโน้มของตลาดทองคำ มองว่ามีแนวโน้มแกว่งตัวออกด้านข้าง ในลักษณะของการซื้อขายเล่นรอบ ในกรอบ 1,900 – 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนวรับระหว่างวันที่ 1,920 / 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ปรับตัวลงต่ำกว่ามีความเสี่ยงของการเกิดขาลง แนวต้านสำหรับทำกำไรที่ 1,955 / 1,975 / 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ