เรียนเพื่อเรียนรู้ หนทางสู่อนาคต
Learning How to Learn เป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในทุกวันนี้
โลกการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่เทคโนโลยีดิจิทัลถือกำเนิดขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักจะรวดเร็วกว่ากระบวนการเรียนรู้จะตามได้ทัน นั่นหมายความว่าระบบการเรียนรู้ทำได้เพียงการสอนสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันแต่หวังให้นิสิตนักศึกษานำไปประกอบอาชีพใหม่ๆ ในอนาคต
วิชาการที่ร่ำเรียนในคณะและสาขาวิชาต่างๆ จึงต้องมองไปยังอนาคต ต้องมองให้เห็นอาชีพใหม่ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่เด็กรุ่นใหม่จะต้องประสบในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แม้จะยังไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร แต่เราปลูกฝังให้นิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ “เรียนเพื่อเรียนรู้” ได้ตลอดชีวิต
นอกจากด้านวิชาการแล้ว ทักษะในการ พูด ฟัง อ่าน เขียน จึงเป็นสิ่งที่นำไปใช้ได้ตลอดชีวิต แม้จะดูเป็นเรื่องพื้นฐานแต่เราก็มักจะเห็นนิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ขาดทักษะในด้านการอ่านและการเขียนอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะการอ่านที่มักจะจับประเด็นไม่ได้ รวมไปถึงทักษะอย่างการอ่านแผนภูมิที่แปลความหมายไม่ได้จนทำให้มีปัญหาในการสื่อสาร
ทักษะทั้ง 4 ด้านนี้เปรียบได้กับรากฐานในการสร้างอาคารสูง ไม่ว่าจะกี่ชั้นก็ต้องมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง คนรุ่นใหม่ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็จำเป็นต้องมีทักษะทั้ง 4 ด้านนี้บวกกับวิชาการเฉพาะด้านก็สามารถเติบโตในเส้นทางการงานอาชีพได้ตลอด
แม้ว่าในระยะหลังจะมีปัจจัยอื่นๆ เช่นนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ทักษะในการเป็นผู้นำ ไปจนถึงความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ ฯลฯ ก็ล้วนเป็นตัวเสริมให้เด็กรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐาน
ในด้านการ พูด ฟัง อ่าน เขียน ได้สำเร็จมากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ทักษะทั้ง 4 นี้ก็ไม่ได้พัฒนากันง่ายๆ เพราะมีเพียงการพูดและการฟังที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่การอ่านและการเขียนต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงการอ่านเพื่อบริโภคความรู้ก็ต้องเลือกสรรสาระที่เราต้องการเสพด้วยเช่นกัน
การอ่านนอกจากได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองแล้วยังเป็นการฝึกการคิดและวิเคราะห์เนื้อหาต่างๆ จนท้ายที่สุดก็สามารถหล่อหลอมเข้ากับความคิดของตัวเองกลายเป็นการสังเคราะห์ความรู้ สร้างภูมิปัญญาให้กับตัวเองได้
ขณะที่การเขียนก็คือการรวบรวมความคิดของตัวเองบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำ เป็นการถ่ายทอดให้กับทั้งตัวเองและผู้อื่น ทำให้เกิดการต่อยอดทางความคิด สะสมเป็นความรู้ในด้านต่างๆ ส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไปได้
เมื่อรวมทักษะทุกด้านเข้าด้วยกันจึงกลายเป็นพลังแห่งการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด และทำให้มนุษย์มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ลำพังเพียงแค่โทรศัพท์มือถือที่เราใช้งานกันอยู่ในทุกวันนี้ ย้อนไป 14 ปีที่แล้ว คือวันที่ iPhone ถือกำเนิดขึ้นเราก็ไม่คาดคิดว่ามันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตเราถึงเพียงนี้
ยุคปัจจุบันคือยุคที่เราไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะใช้นำทาง ใช้บันทึกนัดหมาย เรียกรถแท็กซี่ ทำงาน ไปจนถึงชำระเงินและโอนเงินโดยแทบไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดเลย สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนวิถีชีวิตเราไปมหาศาล
อาชีพใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมในทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีใครรู้จักเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ดาต้าไซเอนทิสต์ ฯลฯ แต่คนที่รู้แนวโน้มดังกล่าวและแสวงหาโอกาสจากมันได้ล้วนอาศัย การพูด ฟัง อ่าน เขียน เพื่อจับประเด็นจนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและปรับตัวก่อนคนอื่น ๆ ได้สำเร็จ
การ Learning How to Learn จึงเป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในทุกวันนี้ เพราะการเรียนเพื่อเรียนรู้ จะทำให้เราปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และมองหาหนทางและโอกาสของตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่รอดในอนาคต
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงจนศาสตร์ใหม่ๆ ก้าวตามไม่ทัน การเรียนเพื่อเรียนรู้จึงเป็นทางออกสำคัญที่สุด