รัฐบาลในฐานะผู้บริหารจัดการความเสี่ยง

รัฐบาลในฐานะผู้บริหารจัดการความเสี่ยง

ทุกครั้งที่สังคมไทยเกิดปัญหาขึ้นก็มักมีเสียงเรียกต้องให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หรือแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงบทบาทหนึ่งที่รัฐบาลจะลืมไม่ได้เลย คือ การเป็นผู้บริหารจัดการความเสี่ยง

ในอดีต  บทบาทของรัฐบาลในการรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมักจำกัดอยู่แค่เรื่องของภัยพิบัติและโรคระบาด  เมื่อไหร่มีน้ำท่วม  ไฟไหม้  แผ่นดินไหว  ไข้หวัดนก  ก็จะเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมารับมือ  เรื่องไหนที่เกิดขึ้นบ่อยเข้า  หน่วยงานเฉพาะกิจเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นหน่วยงานที่เป็นตัวเป็นตนอย่างเป็นทางการ  เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันเหล่านี้ขึ้น  ก็สามารถรับมือได้ดีในระดับหนึ่ง
    หากจะมองตามความเป็นจริงแล้ว  ความเสี่ยงของประเทศไทยไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศและโรคระบาด  ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองและประชาชนได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  
    ช่วงหลายปีที่ผ่านมา  เราเผชิญกับมรสุมทางเศรษฐกิจและการเมืองมาสารพัด  ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก  การเมืองระหว่างประเทศ  ราคาน้ำมันที่และอัตราแลกเปลี่ยนที่ฉุดให้ค่าครองชีพสูงขึ้นตามไปด้วย  รวมถึงวิกฤติจากโควิด-19 ที่กำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์ดันยอดคนว่างงานให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายความเข้มแข็งของธุรกิจ และส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในชุมชน

โครงสร้างการบริหารจัดการและกรอบความคิดในการบริหารที่ตั้งอยู่บนฐานคิดว่า “ความแน่นอน” เป็นเหตุการณ์ปกติส่วน “ความเสี่ยง” เป็นเหตุการณ์พิเศษ  อาจไม่เหมาะสมกับโลกในวันนี้  หากไม่นำความเสี่ยงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดแนวทางในการดูแลประเทศและประชาชน  เราก็จะเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของหน่วยงานของรัฐทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น 
    อาการลุกลี้ลุกลนเหล่านี้ทำให้วิธีการออกมารับมือกับปัญหาไม่เป็นระบบเท่าที่ควร  แถมยังมีโอกาสก่อให้เกิดผลเสียต่อรัฐและบ้านเมืองในระยะยาว  นอกจากนี้แล้ว  ความเชื่อที่ว่ายังไงเสียรัฐก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือ  ใครจะทำอะไรก็เลยไม่ระมัดระวังเท่าที่ควร   ถ้ายังจำกันได้  ศัพท์ยอดฮิตคำหนึ่งช่วงเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งคือ  “ล้มบนฟูก”  ซึ่งสะท้อนทัศนคติของสังคมว่ามองวิธีการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 อย่างไร  
    ไม่กี่ปีหลังจากนั้น  เมื่อราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้น  กองทุนน้ำมันเอาเงินที่มีอยู่มาพยุงราคาน้ำมัน  เพราะคิดว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นเพียงพักเดียว  ภาวะน้ำมันแพงนี้เป็นความผันผวนระยะสั้น  คงไม่บานปลายยืดเยื้อ อดทนอีกหน่อย เดี๋ยวราคาก็ลดลงมาเอง  ประกอบกับแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองที่ไม่ต้องการเสียคะแนนนิยม  เลยทำให้กองทุนน้ำมันต้องตะแบงรับภาระไปเรื่อย  จนสุดท้ายก็กระเป๋าแห้ง  ยกธงขาวยอมแพ้ไปตามระเบียบ  มองย้อนกลับไปก็เสียดายเงินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาตั้งนาน

อิทธิฤทธิ์ของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกบดบังด้วยวิกฤติทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันก็ทำให้เศรษฐกิจออกอาการได้ไม่น้อย  ถ้ายังจำกันได้ ช่วงนั้นสำนักงานประกันสังคมพยายามหาทางช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน  มีการแถลงว่าจะนำเงินของกองทุนราว 1 หมื่นล้านบาทมาปล่อยกู้ให้กับนายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ  โดยหวังว่าเงินกู้นี้จะช่วยให้ลูกจ้างที่ตกงานสามรถประคองตัวต่อไปได้  นายจ้างสามารถพยุงกิจการต่อไปได้  เป็นการลดดีกรีความรุนแรงของปัญหาการว่างงาน  นอกจากนี้  ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมยังมีมติเอาเงินอีก 1 พันล้านไปซื้อข้าวสารแจกผู้ประกันตนซึ่งมีอยู่เกือบสิบล้านคน  
    คำถามก็คือ  นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหรือเปล่า?  มีทางอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่  แม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากความหวังดี ต้องการช่วยเหลือประชาชน แต่เงินจำนวน 1.1 หมื่นล้านไม่ใช่เงินน้อยๆ การจะใช้เงินมากขนาดมีเหตุผลมารองรับที่เพียงพอหรือไม่  
    ตัวอย่างทั้งสามเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ากรอบความคิดที่ว่าโลกนี้เป็นโลกแห่งความแน่นอน  ทุกอย่างสามารถคาดการณ์ได้ อะไรที่แตกต่างไปจากเรื่องปกติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วเพียงชั่วคราว  เกิดเมื่อไหร่ก็แก้กันเป็นเรื่องๆ ไป  ไม่มีการเตรียมการรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ  
    การมองโลกแบบนี้ค้านกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นรายวัน  ยิ่งใช้กรอบความคิดแบบเก่ามารับมือกับโจทย์ใหม่ที่จะทยอยเข้ามา โอกาสทำพลาดยิ่งมีมากขึ้น  ผลสะสมของความผิดพลาดเหล่านี้แม้เพียงเล็กน้อย  หากปล่อยเอาไว้มันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู  ดีไม่ดีอาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศ  ต้องตามแก้กันไปอีกนาน  ไหนจะต้องรับมือกับเรื่องใหม่  ไหนจะต้องตามแก้ของเก่า  แบบนี้เมื่อไหร่บ้านเมืองเราจะก้าวไปข้างหน้าได้เสียที.