วิธีสูงวัยอย่างมีความสุข | วิทยากร เชียงกูล
บทความชื่อ How to Grow-old ที่ เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ (ค.ศ. 1872-1970) เขียนเมื่อตอนอายุกว่า 70 ปีแล้ว (เขาอยู่ต่อมาถึงอายุ 98 ปี) เป็นบทความที่น่าสนใจนำมาถ่ายทอดกันต่อไปนี้
เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ (ค.ศ. 1872-1970) นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์ นักรณรงค์คัดค้านสงคราม ชาวอังกฤษ เขียนหนังสือแนวปรัชญาสำหรับคนทั่วไปไว้หลายเล่ม (บางเล่ม เช่น เรื่องการศึกษาแปลเป็นไทยแล้ว) และบทความอีกจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงบทความชื่อ How to Grow-old
บทความชื่อ How to Grow-old รัสเซลล์กล่าวถึงยายของเขาว่า เป็นผู้ที่มีความสนใจและชอบทำกิจกรรมที่กว้างขวางและเอาจริงเอาจัง หลังจากเป็นหม้าย เธออุทิศเวลาให้กับการส่งเสริมให้ผู้หญิงมีโอกาสเรียนขั้นอุดมศึกษาอย่างแข็งขันมาโดยตลอด ตอนเธออายุ 80 กว่าเธอมีปัญหานอนหลับยาก เธอเลยใช้เวลาอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ทั่วไปตอนเที่ยงคืนถึงตี 3 เป็นประจำ
รัสเซลล์คิดว่ายายของเขาคงมีกิจกรรมยุ่งจนไม่ได้สังเกตว่าเธอกำลังอายุมากขึ้นแค่ไหน เขาคิดว่านี่คือสูตรข้อแรกที่จะทำให้คนเรายังคงความเป็นหนุ่มสาวไว้ ถ้าคุณมีความสนใจและกิจกรรมที่กว้างขวางเอาจริงเอาจัง และคุณยังทำกิจกรรมเหล่านั้นได้ดีอยู่ คุณไม่มีเหตุผลที่จะมาคิดถึงตัวเลขว่าตอนนี้คุณอยู่ในโลกนี้มาแล้วกี่ปี และยิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องว่าเวลาในอนาคตของคุณนั้นเหลือสั้นแล้ว
รัสเซลล์กล่าวว่าในทางจิตวิทยา มี 2 เรื่องที่คนสูงวัยควรระวังคือ 1. หมกมุ่นกับเรื่องในอดีตอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดแต่เรื่องเสียดายยุคที่คุณเคยมีความสุขในอดีต หรือโศกเศร้ากับเพื่อนๆ ที่จากไปก่อน
เราควรมุ่งความคิดของเราไปสู่อนาคต คิดว่ามีอะไรที่จะต้องทำต่อไป นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่าย เรื่องราวในอดีตของเรามักจะมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะคิดถึงว่าอารมณ์ปรารถนาของเราในอดีตเคยมีชีวิตชีวาชัดเจนมากกว่า และสมองเราก็เคยแจ่มใสมากกว่าตอนนี้
รัสเซลล์กล่าวว่า “ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เราก็ควรลืมเรื่องนั้นเสีย และถ้าเราลืมเรื่องนั้นได้ มันก็อาจไม่ใช่เรื่องจริง”
เรื่องที่ 2 ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การคิดว่าการคบหากับคนหนุ่มสาวอย่างใกล้ชิด จะทำให้คุณเป็นหนุ่มสาวมีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อลูกของคุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาต้องการที่จะมีชีวิตของพวกเขาเอง ถ้าคุณยังสนใจในลูกในตอนนี้แบบเดียวกับเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก คุณอาจจะกลายเป็นภาระกับพวกเขาได้ หรือลูกของคุณบางคนก็อาจจะกระด้างกระเดื่องไปเลย
รัสเซลล์กล่าวว่า เขาไม่ได้หมายถึงว่าเราไม่ควรสนใจลูกของเราที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ควรสนใจพวกเขาอย่างมีวิจารณญาณ และอย่างมีมนุษยธรรม มากกว่าการไปผูกพันทางอารมณ์แบบคาดหวังจากพวกเขามากเกินไป
รัสเซลล์คิดว่าการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จจะเป็นไปได้ง่ายที่สุดสำหรับคนที่มีความสนใจในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นอย่างเหมาะสม สติปัญญาของเราที่ได้มาจากประสบการณ์จะได้ถูกใช้ไปอย่างไม่เอาเปรียบคนอื่น
ไม่มีประโยชน์ที่ไปบอกลูกที่โตแล้วว่าพวกเธออย่าทำอะไรผิดพลาด เพราะพวกเขาอาจไม่เชื่อคุณแล้ว และเพราะว่าการทำผิดพลาดคือส่วนที่สำคัญของการเรียนรู้ของมนุษย์เรา
คนสูงวัยที่ไม่รู้จักทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์/เกี่ยวข้องกับคนอื่น และหมกมุ่นอยู่แต่กับลูกและหลานของตนเอง อาจจะพบว่าชีวิตตนเองว่างเปล่าได้ เมื่อพบว่าลูกหลานไม่ได้สนใจคุณเท่าที่ควร คุณอาจจะให้เงินทองสิ่งของต่างๆ แก่ลูกหลานคุณได้ แต่คุณไม่ควรจะคาดหมายว่าพวกเขาจะชอบใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณเสมอไป
คนสูงวัยบางคนถูกกดดันด้วยความรู้สึกหวาดกลัวต่อความตาย สำหรับคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะคนที่อยู่ในสงคราม อาจมีเหตุผลที่จะรู้สึกเช่นนี้ได้ว่าการตายก่อนวัยชราของเขาคือการถูกคดโกงสิ่งดีๆ ในชีวิตที่เขาควรจะได้รับ แต่แต่สำหรับคนสูงวัยผู้ผ่านความสนุกสนานและความโศกเศร้าของชีวิตมาแล้ว และได้ทำงาน ทำภาระให้กับโลกนี้มามากพอแล้ว การหวาดกลัวความตายเป็นเรื่องที่เศร้าหมองและไร้ศักดิ์ศรี
วิธีที่จะเอาชนะความรู้สึกกลัวความตายที่รัสเซลล์เสนอคือ พยายามสนใจในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอย่างกว้างขวางขึ้นตามลำดับ เพื่อทำให้กำแพงแห่งความหลงตัวเองของคุณลดระดับลงมา และชีวิตของคุณจะค่อยๆ ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของจักรวาล (Universal Life) เพิ่มขึ้น
“การดำรงอยู่ของมนุษย์ปัจเจกชนคนหนึ่งควรเป็นคล้ายๆ กับแม่น้ำสายหนึ่งคือเริ่มต้นจากจุดเล็ก เป็นคลองแคบภายใต้ตลิ่งชัน 2 ฝั่ง และไหลผ่านโขดหินและน้ำตกต่างๆ อย่างมีอารมณ์ความรู้สึก แม่น้ำสายนั้นจะค่อยๆ กว้างขึ้น ตลิ่งค่อยๆ ลดระดับความชันลง กระแสน้ำไหลหรือช้าลง
และในที่สุดก็ไหลไปรวมกับทะเล สูญเสียความเป็นปัจเจกชนไปอย่างเงียบๆ และไม่เจ็บปวด
คนที่มองชีวิตของเขาเป็นแบบนี้จะไม่ทุกข์ทรมานด้วยความกลัวความตาย เพราะว่าสิ่งที่เขาเคยเอาใจใส่นั้นจะยังคงดำเนินต่อไป และถ้าหากว่าชีวิตของเราต้องเสื่อมไป ความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น ความคิดที่ต่อไปเราจะได้พักผ่อนก็น่าจะเป็นที่น่ายินดีต้อนรับ ผมปรารถนาที่จะตายในขณะที่ผมยังคงทำงานอยู่ รู้ว่าคนอื่นๆ จะทำต่อสิ่งที่ผมไม่สามารถทำต่อไปได้ และพอใจว่าสิ่งที่เป็นไปได้นั้นผมได้ทำลงไปแล้ว”
ข้อความในอีกบทความหนึ่ง (Power-Knowledge) น่าจะช่วยเสริมเรื่องชีวิตที่มีความหมายได้ดี
“ในความปรารถนาอย่างมีจิตสำนึกของคนที่แสวงหาอำนาจเพื่ออำนาจนั้น จะมีบางสิ่งที่ขุ่นมัว เมื่อเขาได้อำนาจมา เขาจะยิ่งต้องการอำนาจมากขึ้น และจะไม่มีความสงบพอที่จะพิจารณาว่าเขามีอะไรอยู่แล้ว
ในขณะที่คนที่มีความรัก กวี และนักแสวงหาความลี้ลับทางจิตวิญญาณ (Mystic) จะพบกับความพอใจอย่างเต็มเปี่ยมได้มากกว่าที่พวกนักแสวงหาอำนาจจะรู้จัก เพราะว่าคนกลุ่มแรกจะสงบสุขพอใจกับสิ่งที่พวกเขารัก ขณะที่พวกแสวงหาอำนาจจะรู้สึกว่าชีวิตเราว่างเปล่า ถ้าเขาไม่ออกไปแสวงหาอำนาจใหม่
ดังนั้นผมจึงคิดว่าความพอใจของคนที่มีความรัก ในความหมายกว้างนั้น เป็นความพอใจที่อยู่เหนือความพอใจของพวกทรราช และควรได้รับการยกย่องให้อยู่ในที่สูงกว่าในบั้นปลายชีวิตของคนเรา”
คำคมเกี่ยวกับความสุข จากหนังสือ The Conquest of Hapiness
“ความลับในการมีความสุขอยู่ที่เรื่องง่ายๆ คือ จงมีความสนอกสนใจในเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และขอให้การแสดงปฏิกิริยาของคุณต่อสิ่งต่างๆ หรือต่อคนอื่นๆ ให้ออกไปในทางเป็นมิตรและหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูให้มากที่สุด”